รายงานพิเศษ - จันทร์ 21 มี.ค.นี้ กกต.มีนัดเลือกเลขาธิการ กกต.คนใหม่แทน “จรุงวิทย์” หึ่ง!ฝ่ายการเมืองเชียร์ “แสวง บุญมี” เข้าป้าย จนมีภาษีดีกว่าคู่แข่งอย่าง “ชยพล” ผู้ช่วย ผบ.ตร. แต่ “รองแหวง” เองก็ยังมี “ตำหนิ” ติดตัว ทำเอา 7 อรหันต์ กกต.อาจซวยไปด้วย
วันจันทร์ที่ 21 มี.ค.65 ที่จะถึงนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นัดสำคัญ เพื่อพิจารณาเลือกเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (เลขาธิการ กกต.) คนใหม่ แทน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา ที่ลาออกไปดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา
งวดนี้มีผู้สมัครลงชิงชัย 2 ราย คือ “คนใน” อย่าง แสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. รักษาการแทนเลขาธิการ กกต. และ “คนนอก” อย่าง พล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ “แสวง” ถือว่ากุม “ความได้เปรียบ” ในฐานะ “ลูกหม้อ” ทำงานที่ กกต.มาเกินกว่า 20 ปี จนมาเป็นรองเลขาธิการ กกต.ที่ครองอาวุโสอันดับหนึ่ง และในการสรรหาเลขาธิการ กกต.เมื่อปี 2561 ก็เคยลงสมัครมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้รับการคัดเลือก
ขณะที่ “มวยรอง” อย่าง “พล.ต.ท.ชยพล” ก็ถือว่า “ไม่ธรรมดา” เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 37 เติบโตในสายงานด้านกฎหมายและคดี รวมถึงงานด้านความมั่นคง ดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ อดีตผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6, อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล กระทั่งได้มาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
โดยเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา 2 ผู้สมัคร ได้แสดงวิสัยทัศน์ และการสัมภาษณ์ เพื่อเข้ารับการคัดเลือกต่อคณะอนุกรรมการดำเนินการสรรหา และตรวจสอบคุณสมบัติบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต.แล้ว
อย่างไรก็ดี งานนี้ว่ากันว่า นอกเหนือจากความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์ ในชั้นคณะอนุกรรมการดำเนินการสรรหาฯ อาจจะไม่เพียงพอสำหรับที่จะให้ 7 อรหันต์ กกต.ชี้ขาดผู้ที่จะมาเป็น “แม่บ้าน กกต.” ที่ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กรรมการ กกต.เลยทีเดียว
โดยเฉพาะในห้วงเวลานับถอยหลังไปถึงเลือกตั้งสนามใหญ่ที่จะมีขึ้นในอีกไม่เกิน 1 ปีข้างหน้า
การเลือกเลขาธิการ กกต.คนใหม่ ก็เลยมีเสียงเชียร์กระหึ่มออกมาจาก “กองหนุน” ที่วงประชุมวันจันทร์ที่จะถึงนี้ อาจต้องเงี่ยหูฟัง
เรื่องลือเสียงเล่าอ้าง “แสวง” มีกองเชียร์จาก “ฝ่ายการเมือง” หลายสาย ทั้ง “ครูใหญ่อีสานใต้” ที่คุ้นเคยกันมานมนาน “รัฐมนตรีร่างใหญ่” แห่งพรรคแกนนำรัฐบาลที่ออกหน้าการันตี “รองแหวง” กับ “บิ๊กตึกไทยคู่ฟ้า” ว่า “เรียกง่าย-ใช้คล่อง” หรือกระทั่ง “นายพลบ้านลาดพร้าว” ที่เที่ยวนี้มาแปลก เมิน “รุ่นน้อง นรต.” หันมาเชียร์ “แสวง” สุดลิ่ม ทำเอา “พี่ใหญ่รัฐบาล” ยังต้องคล้อยตาม
ส่วน “ชยพล” ที่เดิมราศีจับ เพราะมีข่าวว่า เป็นสาย “ตึกไทยฯ-บ้านป่าฯ” ส่งเข้าประกวด ให้ข้ามห้วยมาคุมการเลือกตั้ง แต่ระยะแรงหนุนจาก “2 บิ๊ก” แผ่วไปเฉยๆ ทำให้โอกาสสืบตำนาน “สีกากี” ในตำแหน่งแม่บ้าน กกต. ต่อจาก พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ค่อนข้างริบหรี่
ตามรูปการณ์นี้ก็เลยคาดการณ์กันว่า จันทร์นี้ “แสวง” น่าจะมีลุ้นเข้าวินมากกว่า “ชยพล”
ทว่า ภายในสำนักงาน กกต.เองก็มีกระแสแสดงความเป็นห่วงว่า หาก “แสวง” ได้ขึ้นเบอร์ 1 แห่งสำนักงาน กกต.จริงก็อาจเกิดปัญหาในอนาคตอันใกล้
ด้วยความที่ “รองแหวง” เป็นลูกหม้อทำงานใน กกต.มานาน ก็เลยมี “ตำหนิ” ติดตัวไม่น้อย
สดๆร้อนๆกับกรณีที่ “แสวง” ในฐานะรักษาการแทนเลขาธิการ กกต.เป็นคนเซ็นต์หนังสือชงเรื่องให้ “ประธานปุ๊” อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ลงนามในประกาศสำนักงาน กกต. เรื่อง การรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต.
เท่ากับว่า “ต้นทาง” อย่าง “รองแหวง” เป็นทั้งผู้จัดทำ และรู้รายละเอียดของหลักเกณฑ์-คุณสมบัติผู้สมัครล่วงหน้า จนอาจสามารถตีความได้ว่าเข้าข่าย “เอาเปรียบ” ผู้สมัครรายอื่น และยังถือเป็น “ผู้มีส่วนได้เสีย” หรือมี “ผลประโยชน์ขัดกัน” โดยตรงด้วย
หรือย้อนกลับไปสมัยที่ “จรุงวิทย์” ยังเป็นเลขาธิการ กกต. “แสวง” ในฐานะรองเลขาธิการฝ่ายพรรคการเมือง ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำกับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย (พ.ร.ป.) พรรคการเมือง
ปรากฎว่าเกิดกรณีที่ต้องเร่งรัดติดตามทวงถามเงินคืนจากพรรคการเมืองที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายราว 20 ล้านบาท แต่กลับไม่มีการติดตาม และทำให้เลยกำหนดระยะเวลาทวงถามตามที่กฎหมายกำหนด
เป็นเหตุให้คณะกรรมการ กกต.ชุดใหญ่ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่งเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติกรณีการจัดสรรเงินอุดหนุนพรรคการเมือง รวมทั้งสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทวงถามเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 20 ล้านบาทดังกล่าวด้วย
ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ผู้รับผิดชอบย่อมเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้องค์กรเสื่อมเสีย ซึ่งอาจมีโทษทางวินัยร้ายแรง และต้องถูกดำเนินอาญาด้วย
เมื่อ “แสวง” เข้าวินเลขาธิการ กกต.จริง ก็ต้องพก “ตำหนิ” ที่ว่าไปนี้ไปด้วย
และคงทำ 7 อรหันต์ กกต.ต้องเสียวสันหลังกันทั้งคณะ เพราะดันเลือก “ของมีตำหนิ” มาใช้งาน อาจตกพุ่มซวยไปด้วยก็เป็นได้.