xs
xsm
sm
md
lg

กลับคำพิพากษา! ศาลปค.สูงสุดสั่งจ่ายค่าโง่คลองด่าน 9 พันล้าน ชี้พยานหลักฐานอ้างรื้อคดีของเก่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จบเห่!!!ต้องจ่ายค่าโง่คลองด่าน ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกคำขอพิจารณาคดีใหม่ ชี้พยานหลักฐานที่อ้างขอรื้อคดีเป็นของเก่าในสำนวนคดีเดิม ต้องชดใช้ตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ 9 พันล้าน

วันนี้ (7มี.ค.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำสั่งและคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เป็นให้ยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของกรมควบคุมมลพิษและกระทรวงการคลัง และให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษต้องจ่ายเงินค่าจ้าง ค่าเสียหาย และดอกเบี้ย ให้แก่กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี กรณีสัญญาโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เนื่องจากเห็นว่า ในส่วนของกระทรวงการคลัง ไม่ได้เป็นผู้ฟ้องคดีหรือผู้ถูกฟ้องคดีอันมีฐานะเป็นคู่กรณีตามคำพิพากษาศาลปกครอง ตลอดจนมิใช่คู่สัญญาตามสัญญาโครงการจัดการน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ ฝั่งตะวันออกและตะวันตก เลขที่ 75/2540 ลงวันที่ 20ส.ค. 40 และไม่อยู่ในบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ หมายเลขแดงที่ 2/2554 ลงวันที่ 12 ม.ค.2554 และคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีในคดีเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่จะมีผลทำให้เป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีดังกล่าวแต่อย่างใด กระทรวงการคลังจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้

ส่วนกรมควบคุมมลพิษ ศาลปกครองสูงสุดโดยประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.2/2551 และคำพิพากษาศาลแขวงดุสิต คดีหมายเลขแดงที่ 3501/2552 กรมควบคุมมลพิษได้เสนอข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อศาลปกครองมาแต่แรกในชั้นการพิจารณาคดีครั้งก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคดีของศาลแขวงดุสิต ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดง ที่ 3501/2552 ที่กรมควบคุมมลพิษเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ที่ 1 กับพวกรวม 19 คน เป็นจำเลย ซึ่งมีประเด็นวินิจฉัยเกี่ยวกับการร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงในการทำสัญญาโครงการ ย่อมแสดงว่ากรมควบคุมมลพิษต้องมีพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างว่าสัญญาเกิดขึ้นจากการร่วมกันทุจริตทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐและกลุ่มเอกชนที่เกี่ยวข้องอยู่ก่อนแล้ว แต่กรมควบคุมมลพิษไม่นำเสนอเข้ามาในชั้นอนุญาโตตุลาการ หรือในการยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครอง กรณีจึงมิใช่พยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไป

ส่วนคดีของศาลอาญาตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ อ.4197/2558 ที่กรมควบคุมมลพิษอ้างเอกสารที่ยื่นส่งในชั้นสืบพยาน และอ้างว่าศาลอาญามีคำพิพากษาว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมควบคุมมลพิษเป็นการกระทำโดยทุจริตและเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มเอกชนคู่สัญญา ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ประกอบการยื่นขอพิจารณาคดีใหม่ นั้น เห็นว่า คำพิพากษาดังกล่าวเป็นการที่ศาลนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงในสำนวน คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ส่วนข้อเท็จจริงในสำนวนคดีดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงสืบเนื่องมาจากรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฉบับลงวันที่ 11 เม.ย. 55 ซึ่งกรมควบคุมมลพิษมีพยานหลักฐานเกี่ยวกับการทุจริตของข้าราชการของกรมควบคุมมลพิษและการเอื้อประโยชน์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดการน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี จะยื่นข้อเรียกร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 46 และพยานหลักฐานที่ศาลอาญาได้รับไว้ นั้น ส่วนหนึ่งเป็นพยานหลักฐานเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อจัดให้มีการทำสัญญาเลขที่ 75 /2540 ลงวันที่ 20 ส.ค.40 ซึ่งก็เป็นเอกสารที่มีขึ้นก่อนเริ่มต้นกระบวนการอนุญาโตตุลาการทั้งสิ้น และอีกส่วนหนึ่งเป็นพยานหลักฐานอันสืบเนื่องมาจากรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฉบับลงวันที่ 11 เม.ย.55 ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้นในคดีก่อนเช่นกัน ดังนั้น พยานหลักฐานอันเกี่ยวกับการพิจารณาคดีอาญาของศาลอาญาที่กรมควบคุมมลพิษกล่าวอ้างเพื่อขอพิจารณาคดีใหม่ล้วนมีอยู่ก่อนแล้วในระหว่างการพิจารณาคดีครั้งก่อนทั้งสิ้น จึงมิใช่พยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ

ส่วนหนังสือ ที่ ปง 015.2/807 ลงวันที่ 16 พ.ค. 59 ถึงกรมควบคุมมลพิษที่แจ้งคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย.148/2559 ลงวันที่ 13พ.ค. 59 อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 2 รายการ พร้อมดอกผล ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่กรมควบคุมมลพิษต้องชำระให้แก่กิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี ไว้ชั่วคราว นั้น เป็นการกล่าวอ้างถึงการรับฟังข้อเท็จจริงและผลของคำพิพากษาศาลอาญา หมายเลขแดงที่ อ. 4197/2558 เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเท่านั้น จึงมิใช่พยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่อย่างใด
และที่อ้างในความไม่ชอบของคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการอันมีสาเหตุมาจากการขาดคุณสมบัติเรื่องความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ นั้น เห็นว่า การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีนายเสถียร วงศ์วิเชียร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการท่าเรือ กับพวก ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อนุมัติให้แก้ไขสัญญาเช่าพื้นที่เพื่อดำเนินโครงการอู่เรือ บริเวณแหลมฉบัง และแจ้งข้อกล่าวหาให้นายเสถียรทราบในระหว่างกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการในคดีนี้แต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นคนละมูลเหตุพิพาทกับคดีนี้และมิใช่คู่กรณีเดียวกัน จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงซึ่งจะมีผลกระทบต่อความเป็นกลางของอนุญาโตตุลาการ ที่จะต้องเปิดเผยตามข้อ 12 ของประมวลจริยธรรมอนุญาโตตุลาการ และไม่ทำให้คุณสมบัติความเป็นกลางของนายเสถียรต้องเสียไป ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕

“เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า พยานหลักฐานของกรมควบคุมมลพิษเป็นพยานหลักฐานที่ล้วนมีอยู่ก่อนแล้วในระหว่างการพิจารณาคดีครั้งก่อนและกรมควบคุมมลพิษได้รู้ถึงพยานหลักฐานดังกล่าวมาก่อนแล้วทั้งสิ้น และไม่ใช่กรณีที่คู่กรณีไม่อาจทราบถึงเหตุนั้นในการพิจารณาครั้งที่แล้วมา จึงมิใช่ความผิดของผู้นั้น ตามมาตรา 75 วรรคสอง กรณีจึงมิใช่พยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ และข้อเท็จจริงที่กรมควบคุมมลพิษกล่าวอ้างมิใช่ข้อเท็จจริงใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) (4) และวรรคสอง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 อันจะเป็นเหตุที่ขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ได้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นและประเด็นระยะเวลาการยื่นคำขอให้พิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งใหม่อีก เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในวันนี้ เป็นผลมาจากก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพ.ย. 57 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้ชำระเงินค่าจ้าง ค่าเสียหาย รวมดอกเบี้ยตามข้อร้องเป็นเงิน 4,983,342,383 บาท กับอีก 31,035,780 ดอลลาร์สหรัฐพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน4,424,099,982 บาท และจำนวน 26,434,636 ดอลลาร์สหรัฐ ตามสัญญาโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการให้กับ กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ซึ่งประกอบไปด้วย 6 บริษัท คือ บ.วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด บ. นอร์ทเวสท์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บ.ประยูรวิศการช่าง จำกัด บ. สี่แสงการโยธา จำกัด บ.กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด และบ.เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนต์ จำกัด กรมควบคุมมลพิษ ได้มีการยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลางขอพิจารณาคดีใหม่โดยอ้างพยานหลักฐานใหม่เป็นคำพิพากษาศาลอาญาว่าโครงการดังกล่าวเป็นการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการทางการเมือง ร่วมกันกับเอกชนที่เอื้อประโยชน์ให้ซึ่งกันและกันเพื่อให้ที่ดินของบริษัท คลองด่าน มารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด ให้ใช้ในการก่อสร้างโครงการและให้กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ได้รับการคัดเลือกเข้าทำสัญญาโครงการจัดการน้ำเสีย จังหวัดสมุทรปราการ จนทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและประชาชน ซึ่งศาลปกครองกลางสั่งรับคำขอไว้พิจารณาและมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 มี.ค.61 สั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับ ทางกลุ่มกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ว่าหลักฐานที่กรมควบคุมมลพิษอ้างไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ แต่มีอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีในชั้นอนุญาโตตุลาการแล้ว ขณะที่กระทรวงการคลังก็อ้างว่าเป็นบุคคลภายนอกซึ่งมีส่วนได้เสียและถูกกระทบจากผลแห่งคดีนี้โดยตรง จึงมีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีใหม่ได้ อย่างไรก็ตามมูลค่าความเสียหายในคดีดังกล่าวที่กรมควบคุมมลพิษ ต้องจ่ายตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเมื่อปี 2554 จากราว 9 พันล้านบาท ปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่าอาจสูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น