เมืองไทย 360 องศา
การพบปะหารือกันของพี่น้อง “3 ป.” เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ “มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” สำนักงานของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้นำมาซึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองในทางการเมืองหลายเรื่องตามมาให้เห็น โดยเฉพาะ “ความเป็นเอกภาพ” ทั้งในพรรคพลังประชารัฐ และจะส่งผลไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลในอนาคต ที่มีการคาดการณ์ว่า ต้องรับศึกหนักในช่วงเปิดสภาสมัยสามัญในเดือนพฤษภาคมที่จะมาถึง
มีรายงานออกมาว่า การหารือดังกล่าวเป็นการหารือลับแบบ “ปิดห้องคุย” กันเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น และมีการร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน โดยบางเมนู เช่น กุ้งอบกระเทียม “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร ถึงกับลงมือปรุงด้วยตัวเองในห้องครัวอีกด้วย และยังมีรายงานอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ รับประทานอาหารได้มากเป็นพิเศษ
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงการร่วมรับประทานอาหารกับพี่น้อง 3 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ หลังฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการสร้างภาพ เพราะความจริงยังมีความขัดแย้งกันอยู่ว่า “ไม่มีอะไร กินข้าวกันปกติอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่าฝ่ายค้านมองว่าเป็นการสร้างภาพว่าความสัมพันธ์ยังดีอยู่เท่านั้น พล.อ.ประวิตร ไม่ตอบคำถามและได้วางสายโทรศัพท์ไปทันที
ขณะเดียวกัน มีรายงานความเคลื่อนไหวในการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โดยพรรคแจ้งกำหนดประชุมในวันที่ 20 มีนาคมนี้ เพื่อรับทราบรายงานผลการดำเนินงานในรอบปีของพรรค รวมถึงวาระอื่นๆ โดยแจ้งให้สมาชิกพรรครับทราบกำหนดประชุมในวันที่ 20 มี.ค.นี้ ที่ โรงแรมแคนทารี จ.นครราชสีมา โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.จะเดินทางเข้าร่วมประชุม
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐได้แจ้งเลื่อนวันประชุมพรรค ออกไปเป็นวันที่ 3 เม.ย. เนื่องจากมีสมาชิกบางส่วน มีภารกิจ แต่ยังใช้สถานที่ โรงแรมแคนทารี จ.นครราชสีมา เช่นเดิม
มีรายงานว่า ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ยังมีวาระที่น่าจับตา คือ การปรับโครงสร้างพรรค โดยเฉพาะกระแสข่าวที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม อาจจะส่งบุคคลที่เป็นสายตรง มาร่วมในตำแหน่งในโครงสร้างพรรคใหม่ครั้งนี้ด้วย หลังจากที่ “3 ป.” พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน และพูดคุยกันอย่างชื่นมื่น ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคเศรษฐกิจไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ในวันที่ 5 มี.ค. หลังการพบปะกันของ “พี่น้อง 3 ป.” ในวันที่ 4 มี.ค. โดยเขาระบุว่า “วันนี้เป็นวันเสาร์ 5 ครับ เป็นวันมงคล เลยถือโอกาสมาเสวนาธรรมกับพระอาจารย์ที่ผมให้ความเคารพนับถือ ท่านได้หยิบยกหนทางสว่าง คือ พรหมวิหาร 4 เราชาวพุทธคงเข้าใจดีว่าพรหมวิหาร 4 มีอะไรบ้าง และระหว่างสนทนาธรรมผมเหลือบไปเห็นเสาวิหารด้านข้างที่ผมนั่งอยู่ ได้บันทึกถึง พรหมพินาศ 4 เป็นหนทางไปสู่ความวิบัติ...นั้นคือ 1. หลงอำนาจ 2. ฉ้อราษฎร์บังหลวง 3. หลอกลวงลูกน้อง 4. ยกย่องคนเลว เสาร์ 5”
แน่นอนว่า นั่นคือ ปริศนาธรรม ที่อาจมองเป็นเรื่องปกติ หรือเป็นเรื่องที่มีเจตนา “จงใจ” ทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะบังเอิญว่าเป็นการโพสต์หลังจาก “3 ป.” พบหารือกันเมื่อวันที่ 4 มี.ค. และบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น ซึ่งหากมองย้อนไปก่อนหน้านั้น เพียงสองวัน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ปัจจุบันสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ได้กล่าวถึงตัวเลขเสียงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า มี 260 เสียง ออกมาในแบบเยาะเย้ยว่า “ฝันไปหรือเปล่า” และ “ไม่มีเสียงของพรรคเศรษฐกิจไทยรวมอยู่ในนั้น” ความหมายที่ชัดเจน ก็คือ “พรรคของเขาไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์” นั่นเอง แม้ว่า พล.อ.ประวิตร จะย้ำว่า กลุ่มร.อ.ธรรมนัส ยังหนุนรัฐบาลก็ตาม
ดังนั้น หากพิจารณาจากภาพรวมทางการเมืองในเวลานี้ มันก็ย่อมถึงเวลาที่ต้อง “จัดแถว” กันอย่างจริงจังเสียที ก่อนที่จะเจอศึกใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า เพราะหากยังไม่มีความมั่นใจแบบ “เต็มร้อย” มันก็ย่อมมีความเสี่ยง รวมไปถึงความเสี่ยงต่อความเสียหายที่จะตามมาใหญ่หลวงนัก โดยเฉพาะกับ “ขุมกำลังอำนาจ” ของกลุ่ม 3 ป. ที่อาจพังครืนลงมาแบบฉับพลันได้เหมือนกัน
หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว ก็ต้องยอมรับความจริงแล้วว่า ด้วยท่าทีล่าสุดของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ประกาศออกมาแล้วไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งก็อาจเป็นไปได้เหมือนกันว่า เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เอา ร.อ.ธรรมนัส นั่นเอง สังเกตจากคำพูดชัดเจนของ นายกฯ ที่กล่าวอย่างมีอารมณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลก่อนหน้านี้ หลังจาก ร.อ.ธรรมนัส ย้ำว่า ไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่า “ไม่ปรับคณะรัฐมนตรี” ซึ่งในความหมายที่เข้าใจว่า “หากมีการปรับ ก็จะไม่มีชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส ใน ครม.ชุดใหม่แน่นอน”
เมื่อเป็นแบบนี้มันก็ชัดเจนว่า เสียงของกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส จำนวน 18 เสียง ก็อาจจะหายไปทั้งหมด หรือแค่บางส่วนก็ต้องรอดูกันอีกทีหนึ่ง แต่เอาเป็นว่าความ “ไม่ชัวร์” เกิดขึ้นแล้ว และยังถือว่าเป็นการ “หักหน้าบิ๊กป้อม” แบบตรงๆ เป็นครั้งแรก หลังจาก มีการยืนยันมาตลอดว่าสนับสนุนรัฐบาล
จะด้วยสาเหตุดังกล่าวด้วยหรือไม่ ที่ทำให้ “พี่น้อง 3 ป.” ต้องปิดห้องจับเข่าคุยกันในแบบที่เรียกว่า “เคลียร์ให้จบ” ทุกเรื่อง เพื่อความมั่นคงทั้งพวกเขาเองและเสถียรภาพของรัฐบาลผสมโดยรวมอีกด้วย เมื่อเป็นแบบนี้มันก็ย่อมเป็นไปได้สูงที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องยอมเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามา “ร่วมบริหารจัดการ” ในพรรคพลังประชารัฐ มากกว่าเดิม เพราะต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา “พี่ใหญ่” รับมือแทบไม่ไหว อย่างน้อยการ “แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ” อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการแบ่งเบาภาระไม่ให้หนักเกินไป
เพราะอย่างที่รับรู้กันดีกว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยย้ำว่า วันนี้ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ เพราะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขณะเดียวกัน เมื่อเกิดกรณีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขึ้นมา ทำให้เกิด “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ขึ้นมาเพื่อลดแรงกดดันในลักษณะที่เรียกว่า “ลดการบีบใข่” ลงไป ซึ่งทิศทางของพรรคนี้ ก็น่าจะต้องดูหลังจากการประชุมพรรคพลังประชารัฐ ที่จะมีการปรับโครงสร้างใหม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน มีตัวบุคคลแบบ “สายตรง” ของ “บิ๊กตู่” เข้าไปมีบทบาทมาแค่ไหนอีกด้วย
แต่จากบรรยากาศที่รายงานออกมาหลังการหารือของ “พี่น้อง 3 ป.” แบบชื่นมื่น ทำให้เห็นสัญญาณที่ชัดเจนกว่าเดิมว่า จะมีการเปิดทางให้ “สายของบิ๊กตู่” เข้ามามีบทบาทคุมพรรคพลังประชารัฐมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ต้องจับตาการเคลื่อนไหวแบบคู่ขนานของพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ “คนสนิท” นายกฯหลังจากนั้นอีกด้วย
ดังนั้น หากพิจารณากันตามรูปการณ์เท่าที่เห็นทำให้มั่นใจได้เลยว่า ในการประชุมพรรคพลังประชารัฐ ที่จะมีขึ้นในเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้าก็ตาม จะต้องมีการปรับโครงสร้างใหม่ ที่ต้องจับตาว่ามีการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มเติมในตำแหน่งสำคัญกี่ตำแหน่ง แต่เชื่อได้เลยว่านี่คือการเปิดทางและรุกคืบเข้ามาของ “บิ๊กตู่” เพื่อต้องการ “จัดแถว” ให้เกิดความชัวร์ ก่อนถึงศึกใหญ่เปิดสภานั่นเอง!!