xs
xsm
sm
md
lg

ศาล ปค.สูงสุดสั่งรับฟ้อง"คมนาคม-รฟท."รื้อคดีค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล.ใหม่ ชี้ปมนับระยะเวลาเปลี่ยนแปลสาระสำคัญ จึงชอบด้วย กม.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศาลปกครองสูงสุดสั่งรับคำฟ้องก.คมนาคม-รฟท.ขอรื้อฟื้นคดีจ่ายค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านใหม่ ชี้ คำวินิจฉัยศาล รธน.ปมนับระยะเวลาฟ้องคดี ทำข้อกม.ที่ใช้ในการทำคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ การยื่นพิจารณาคดีใหม่จึงชอบด้วย กม.

วันนี้ ( 4 มี.ค.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำขอของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ขอให้พิจารณาคดีจ่ายค่าโง่โอปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านใหม่ ไว้พิจารณาวินิจฉัย โดยให้เหตุผลว่า จากคำพิพากษาในคดีดังกล่าวที่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า บริษัทโอปเวลล์ (ประเทศไทย ) จำกัด รู้ว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 41 อันเป็นวันที่ได้รับหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม เมื่อสัญญาระหว่างคู่พิพาทไม่ได้กำหนดเรื่องระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้โดยเฉพาะ การเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ จึงกระทำได้ภายในอายุความการฟ้องคดีต่อศาล เมื่อข้อพิพาทได้เกิดขึ้นก่อนที่ศาลปกครองเปิดทำการ การนับอายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการ คือ วันที่ 9 มี.ค. 44เมื่อบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 47 อันเป็นการยื่นภายในกำหนดระยะเวลา 5ปีนับแต่วันที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญา ข้อพิพาทนี้จึงเป็นข้อพิพาทที่เสนอต่อคณะอนุญาโตตุลาการภายในระยะเวลาโดยชอบแล้วทั้งนี้แม้ว่าคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวจะไม่ได้ระบุถึงที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดโดยตรง แต่ก็เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการตามที่กำหนดในมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2545 ซึ่งต่อมา ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยว่า มติของที่ประชุมใหญ่ฯ ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มติที่ประชุมใหญ่ฯ เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีปกครองดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และโดยที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 211 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การที่ศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษา โดยเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตามแนวทางที่กำหนดโดยมติที่ประชุมใหญ่ฯ แล้วต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติที่ประชุมใหญ่ฯ ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นกรณีที่ข้อกฎหมายที่ศาลปกครองสูงสุดใช้ในการทำคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงชอบที่จะขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542

ทั้งนี้ แม้ว่ามาตรา 212 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญ จะบัญญัติไว้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในคดีอาญา ให้ถือว่าผู้ซึ่งเคยถูกศาลพิพากษาว่ากระทำความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยมาตรา 5 นั้น เป็นผู้ไม่เคยกระทำความผิดดังกล่าว หรือถ้าผู้นั้นยังรับโทษอยู่ก็ให้ปล่อยตัวไป แต่ทั้งนี้ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชยหรือค่าเสียหายใดๆ

ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญข้างต้น ไม่ได้มีผลเป็นการห้ามไม่ให้คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในคดีตามคำพิพากษาศาลปกครองคดีหมายเลขดำที่ อ.410-412/2557 หมายเลขแดงที่ อ. 221-223/2562 นำผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564๕/๒๕๖๔ ลงวันที่ 17 มี.ค. 64 มาใช้เป็นข้ออ้างในการขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีนี้ใหม่ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 แต่อย่างใดศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ไว้พิจารณา

สำหรับคดีนี้สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดง ที่ อ. 221-223/2562 ให้ยกคำร้องของกระทรวงคมนาคม และรฟท.ที่ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการและบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าตอบแทนตามสัญญาสัมปทาน จำนวน 2,850,000 บาท คืนหนังสือค้ำประกัน และค่าธรรมเนียมการออกหนังสือค้ำประกัน จำนวน 38,749,800 บาท กับเงินที่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ใช้ในการก่อสร้างโครงการ จำนวน 9,000,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย แก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด แต่กระทรวงคมนาคมและรฟท. เห็นว่าประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย ในเรื่องของการนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ถือเป็นหลักฐานใหม่ที่สามารถยื่นร้องให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ได้ เพื่อที่อาจทำให้รัฐไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับบริษัทโฮปเวลล์ฯ จึงได้มีการยื่นฟ้องของรื้อฟื้นคดีดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ในขณะที่ทุกคน ทุกฝ่ายบอกให้จ่าย จะได้จบๆ ไป แต่ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เห็นช่องทางกฎหมาย ที่จะสามารถดำเนินการ เพิ่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ ไม่ให้เงินแผ่นดินต้องเสียไป โดยไม่เป็นธรรม และเห็นว่ากระทรวงคมนาคม ยุคนี้ ต้องไม่เสียค่าโง่ ไม่จ่ายค่าโง่ ให้ใครอีก จนกว่ากระบวนการทางศาลจะสิ้นสุด จึงได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุด ให้พิจารณาคดีค่าโง่โฮปเวลล์ใหม่ และ ศาลปกครองสูงสุด ได้รับไว้พิจารณา ส่งผลให้ รัฐบาล ยังไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้บริษัทโฮปเวลล์ ประเทศไทย และ ให้นำคดีนี้กลับมาพิจารณากันใหม่ อีกครั้ง