“ดอน” ให้ความมั่นใจรัฐบาลไทย มีแผนรับมือสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ทุกด้าน “ลุ้น” ผลเจรจา 2 ประเทศ เป็นทางบวก “จับตา” ผู้แทนไทย แสดงท่าทีเวทียูเอ็นคืนนี้
วันนี้ (28 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งใช้เวลาหารือประมาณ 1.30 ชั่วโมง ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามรัสเซีย กับยูเครน ว่า ในการหารือมีหลายเรื่องด้วยกันในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ก็เป็นอย่างที่ทราบกันอยู่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางยุโรป ซึ่งแน่นอนว่า ต้องได้รับผลกระทบต่อทุกมุมโลก โดยเฉพาะถ้าเหตุการณ์ยืดเยื้อออกไป ซึ่งที่ผ่านมา เราได้ทำอะไรไปหลายอย่างเพียงแต่อาจไม่ได้ออกมาพูด อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา นักวิชาการและผู้รู้ก็ได้ให้ข้อมูลกับประชาชนในระดับที่เหมาะสมแล้ว ในสิ่งที่รัฐบาลทำหลายเรื่องซึ่งต้องมองอีกมุมหนึ่งว่าได้ทำอะไรไปบ้างและเป็นประโยชน์ต่อประเทศแค่ไหน เพราะเป้าหมายของรัฐบาลอยู่ตรงนั้น คือ ผลประโยชน์ต้องอยู่ที่ประเทศและประชาชนทั้งระยะยาวและปัจจุบัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่กังวลมากที่สุดในขณะนี้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร นายดอน กล่าวว่า หากพูดถึงผลกระทบก็น่าจะมาจากผลของความยืดเยื้อและไม่ใช่เพียงแค่คนไทยเท่านั้น แต่ทุกชาติก็จะได้รับผลกระทบโดยเฉพาะหากเกิดเหตุการณ์บานปลาย ซึ่งทุกฝ่ายก็รับรู้กันอยู่ อย่างไรก็ตาม หน้าที่ของเราที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) หรือในแต่ละประเทศที่เราต้องประสานงานก็ได้มีการพูดจะหารือและหาทางออก หากมองโดยทั่วไปอาจเห็นว่าเป็นเรื่องปกติแต่เมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นมีการทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคลทางที่ดีที่สุด คือ หันหน้าเข้ามาพูดคุยกัน สำหรับตัวประเทศไทยเองเรามีแผนการและมีแถลงการณ์ร่วมกับอาเซียนออกมาแล้วเป็นไปในแนวทางดังกล่าว รวมถึงความพร้อมในด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งเราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกไม่ว่าจะเกิดกรณีใดก็ตาม
“ตอนนี้เรามีการประเมินสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความยืดเยื้อ แต่ทุกอย่างไม่ได้มีคำตอบสุดท้าย เพราะทุกคนรู้ดีว่าความคิดเยอะไม่ได้เป็นผลดีกับทุกฝ่าย แต่ยอมรับว่า มีความพยายามที่จะทำให้ยืดเยื้อเช่นกัน เพื่อประโยชน์ในทางใดทางหนึ่ง ในทางด้านยุทธวิธีเป็นอย่างนี้จริงๆ กับทุกเหตุการณ์ในอดีต อย่างไรก็ตาม วันนี้ สิ่งที่ดีมากที่สุดคือเรื่องที่ทั้งสองประเทศจะคุยกันที่เมืองชายแดน ระหว่างเมืองเบลารุส กับ ยูเครน สำหรับประเทศไทยเรามีแผนเตรียมการไว้ทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โดยเราต้องมองไปข้างหน้าให้ได้ว่าอะไรจะเป็นอย่างไร รวมทั้งแผนการอพยพคนไทย ซึ่งเรามีแผนการไว้อยู่แล้วโดยระหว่างวันที่ 1-2 มี.ค. จะมีคนไทยที่เดินทางกลับมาจำนวน 99 คน ผ่านมาทางเมืองวอร์ซอ และ บูคาเรสต์ แต่ก็ยังมีคนไทยอีกจำนวนหนึ่งไม่พร้อมที่จะออกมา เพราะมีครอบครัวอยู่ที่นั่น จึงอยากจะบอกว่าเรามีแผนการทุกมุมโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนไทยในระยะยาวและด้านเศรษฐกิจ การเมืองสังคม เพราะทุกอย่างล้วนจะถูกผลกระทบได้เพราะหากเหตุการณ์ยืดเยื้อ ทุกอย่างก็จะได้รับผลกระทบเช่นการค้าก็น้อยลง เดินทางท่องเที่ยวก็จะน้อยลง คนรีรอในเรื่องการลงทุน” นายดอน กล่าว
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางอย่างในเรื่องของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนอย่างไรบ้าง รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางต่างๆเพราะเราต่างก็รู้ว่าทุกด้านถ้ายืดเยื้อเงินเฟ้อก็จะเกิดขึ้น ราคาพลังงานก็จะสูงขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกด้านนี้ ได้มีการหารือร่วมกันจึงไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลจะไม่มีแผนงานหรือไม่ได้หารือเตรียมความพร้อมอะไร ก็ถามย้ำว่า ความต่อเนื่องถึงขั้นจะต้องมีการตั้งวอรูมขึ้นมาติดตามสถานการณ์เพื่อรับมือหรือไม่ นายดอน กล่าวว่า ยอมรับว่ามีการพูดกันอยู่แต่ขอไม่ลงในรายละเอียด เพียงแต่ขอให้ไว้วางใจว่ารัฐบาลรับรู้ถึงปัญหาในทุกมุม สำหรับมุมที่เกิดขึ้นในเวทีภายในประเทศ ในภูมิภาคและเวทีระหว่างประเทศ
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีนักการเมืองในประเทศออกมาเรียกร้องในแง่มุมต่างๆคิดว่าสมควรหรือไม่ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เป็นสิทธิส่วนตัวในการแสดงความเห็น แต่สำหรับท่าทีของรัฐบาลไทยนั้น เราไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลกนี้เราต้องการความสงบ รักความสงบเท่านั้นที่จะทำให้ทุกประเทศสามารถพัฒนาตัวเองได้ ที่ผ่านมาเราประสบปัญหาการแพร่ระบาดของ โควิด-19 มาสองปีกว่าแล้วซึ่งเกิดความบอบช้ำไปทั่วทุกประเทศโดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจ หากลองนึกดูว่าเมื่อเรามีปัญหาการแพร่ระบาดของ โควิด-19 แล้วยังมีเรื่องของการเมือง หรือ ความขัดแย้ง ก็จะเป็นการซ้ำสองเท่าทวีคูณ แทนที่เราจะสามารถฟื้นทุกอย่างขึ้นมาได้หลังโควิดเบาบาง จะสามารถฟื้นตัวและพัฒนาบ้านเมือง ทั้งการท่องเที่ยวและการลงทุน ก็จะกลับฟุบลงไปอีก
“ไม่ว่าเราจะมีจุดยืนอย่างไรทุกประเทศย่อมได้รับผลกระทบทั้งสิ้น มากน้อยแตกต่างกันไป อยู่ที่ว่าจะรับมือได้แค่ไหน แต่ทุกอย่างเราได้มีการพูดคุยและเตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว ประชาชนเอง ก็ต้องให้ความร่วมมือด้วยเพราะรัฐบาลทำไม่ได้โดยลำพัง ยอมรับว่าสิ่งที่เราต้องจับตามองในขณะนี้คือการเจรจากันระหว่างประเทศคู่ขัดแย้ง ถือเป็นจุดแรกและเราก็หวังว่าผลการเจรจาจะเป็นเชิงบวกออกมา แต่เราไม่สามารถที่จะไปคาดเดาได้ เพราะผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายแตกต่างกัน ฟังดูเหมือนทุกคนต้องการความสงบความเรียบร้อยไม่กระทบต่อประชาชน แต่อย่างที่ทราบก็ยังมีการยิงกันตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าเบื้องหลัง ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้จะออกมาด้วยวิธีการความคิดอย่างเดียวกัน เพราะในเรื่องของระหว่างประเทศมีความซับซ้อนมาก จะดูแค่เฉพาะภายนอกไม่ได้ ประเทศไทยหวังว่านานาประเทศจะให้ความร่วมมือทำให้เรื่องนี้ค่อยๆคลี่คลาย และไม่บานปลาย อย่างคืนวันเดียวกันนี้จะมีการหารือกันในยูเอ็นในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเราก็ได้มีการเตรียมตัวให้ผู้แทนของไทยได้แสดงท่าทีอะไรออกมาไม่ใช่นั่งเฉยๆ เราต้องบอกกล่าวในเวทีต่างประเทศว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรได้บ้างและเรากำลังคาดหวังว่าจะมีผลอะไรเกิดขึ้นและคาดหวังจะได้รับความร่วมมือจากนานาประเทศ อย่างน้อยที่สุดก็จะทำให้ผลกระทบที่มีต่อนานาประเทศเบาบางลงกว่าที่ควรจะเป็น เพราะถ้าหากเหตุการณ์ยืดเยื้อออกไป ทุกฝ่ายก็จะได้รับผลกระทบ” รมว.ต่างประเทศ กล่าว
นายดอน กล่าวว่า สำหรับภายในประเทศคนไทยต้องช่วยกันมีความสามัคคีปึกแผ่น ซึ่งจะถือเป็นจุดแข็งกล่องของประเทศ หากประเทศไหนอ่อนแอก็จะกลายเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดาย อย่าไปคิดว่าวันนี้สถานการณ์โลกเป็นอย่างนี้แล้วเราต่างคนต่างอยู่ เพราะเศรษฐกิจเฟื่องฟูคิดว่าปัญหาหลังโควิดแล้วจะดีขึ้นทุกอย่างไม่ได้เป็นเช่นนั้น ขอฝากไว้ว่าความสามัคคีในบ้านเรามีความจำเป็นต้องมีความแข็งแรงของบ้านเมืองต้องมี โดยประชาชนต้องร่วมใจกันมีความเป็นเอกภาพซึ่งเป็นฐานของความแข็งแกร่งของสังคม
เมื่อถามว่า อนาคตหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นแล้วจำเป็นต้องเลือกข้าง ไทยจะอยู่ข้างไหน รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เป็นอีกเรื่องหนึ่งเราดูตามสถานการณ์ที่เป็นจริงในวันนี้ ซึ่งการไม่เลือกข้างได้เป็นเรื่องดีที่สุด เพราะเราต้องการให้สถานการณ์สงบโดยเร็วโดยทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เรียกร้องให้สถานการณ์เกิดความเสียหาย ถ้าทั้งสองฝ่ายคุยกันรู้เรื่องก็จะสงบอย่างแน่นอนและเป็นผลดีต่อคนทุกเชื้อชาติทุกวัย ซึ่งไม่ใช่แค่วันนี้แต่จะส่งผลต่อภายหน้าด้วย เพราะทุกประเทศกำลังที่จะฟื้นเศรษฐกิจหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด ไม่เช่นนั้น ถ้าเราไม่ร่วมมือกันทุกอย่างก็จะไม่ฟื้น ถ้าเราไม่ร่วมมือกันโอกาสที่จะฟื้นตัวก็ไม่มี ในโซเชียลหลายประเทศพูดคุยกันเหมือนความสะใจ เหมือนเห็นวิดีโอเกม ซึ่งในชีวิตจริงมันไม่ใช่ ในชีวิตจริงเราต้องหาทางลดความขัดแย้งแล้วทุกคนก็จะเดินหน้าต่อไปได้ทุกครอบครัวสามารถฟื้นวิถีชีวิตกลับมาได้นี่คือของจริงในชีวิต ส่วนการประเมินว่าสถานการณ์จะเลวร้ายมากไปกว่านี้หรือไม่นั้น ส่วนตัวไม่อยากพูดว่าจะเลวร้ายหรือไม่ แต่อยากฟังว่าการหารือระหว่างสองประเทศในวันแรกที่จะเริ่มต้นนั้นจะนำไปสู่จุดเริ่มต้นและจุดจบได้หรือไม่ และหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น