xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องหลัง “ทำบุญใหญ่ประเทศ” ปฐมวิบากกรรมของ “ทักษิณ” ก่อนร่วงสู่เหวลึก กู่ไม่กลับ **นัดชี้ชะตา “ก๊วนธรรมนัส” ไปต่อ หรือสะดุดหัวคะมำ หลุด ส.ส.เดี๋ยวรู้กัน!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**เบื้องหลัง “ทำบุญใหญ่ประเทศ” ปฐมวิบากกรรมของ “ทักษิณ” ก่อนร่วงสู่เหวลึก กู่ไม่กลับ

เหตุการณ์ “ทำบุญใหญ่ประเทศ” ที่วัดพระแก้ว โดย “ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อเมษายน ปี 48 ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างหนักในเวลานั้น แม้จะผ่านมาแล้วเมื่อเกือบ 17 ปี แต่ก็ยังมีเบื้องลึกที่สังคมยังไม่เคยรู้ และหนึ่งในผู้รู้นั้น ก็คือ “ไพศาล พืชมงคล” อดีตที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

“ไพศาล” โพสต์ข้อความในหัวเรื่อง “หลังม่านการเมืองไทย ตอนที่ 22 ทำบุญใหญ่ประเทศ เบื้องหลังปฐมวิบากกรรมของทักษิณสู่กับดัก” ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยรายละเอียดที่ไม่ได้ตัดทอนมีดังนี้

1. ประเทศไทยทำบุญใหญ่ประเทศ เมื่อเดือน เม.ย. 2548 ในช่วงรอยต่อที่พระอาทิตย์โคจรเป็นสงกรานต์ปีสู่มหาสงกรานต์ โดยก่อนหน้านั้น คุณทักษิณ ได้รับพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นอันมาก ทำการสิ่งใดก็ได้รับพระมหากรุณา สนับสนุนช่วยเหลือ และคุณทักษิณ ก็มีน้ำใจจงรักภักดี ทำการถวายสนองพระบรมราชปณิธานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการจัดงานใหญ่เนื่องในมหามงคลสมัยพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี แม้กระทั่งยามต้องคดีซุกหุ้น พระอริยเจ้า คือ หลวงตาพระมหาบัว ก็มีเมตตาระดมสานุศิษย์ช่วยปกป้องคุ้มครองจนผ่านพ้นเภทภัยมาได้

2. เหตุที่ต้องทำบุญใหญ่ประเทศ ก็เพราะบรรดาโหรานุโหรทุกฝ่าย ตรวจพบชะตาเมืองตรงกันว่า แผ่นดินจะประสบวิกฤตใหญ่หลวง บ้านเมืองแตกแยก ระส่ำระสายจะบาดเจ็บล้มตายเดือดร้อนกันเป็นอันมาก จะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายประการในบ้านเมืองเป็นเวลาถึง 20 ปี !!

ผมก็เป็นคนหนึ่งละที่เสนอรายงานเรื่องนี้และในที่สุดรัฐบาลก็กำหนดการทำบุญใหญ่ประเทศขึ้น เพื่อหวังป้องกันวิกฤตร้ายแรงทั้งหลายเหล่านั้น คุณทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้เสนอคณะรัฐมนตรี ให้ตั้งคณะกรรมการจัดงานทำบุญใหญ่ประเทศขึ้น โดยมี “ลุงจิ๋ว” เป็นประธาน ทั้งนี้ ก็เพราะคุณทักษิณ เห็นว่า ลุงจิ๋ว เป็นผู้ใหญ่ในคณะรัฐมนตรี รู้การแผ่นดินหนักเบา ตื้นลึกหนาบาง รอบรู้ราชนิติ และเป็นคนในวังบูรพามาแต่ก่อน และรู้จักบรรดาผู้ทรงปัญญาวิชาคุณเป็นอันมาก

“ลุงจิ๋ว” ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการผู้ใหญ่ทุกภาคส่วน ซึ่งทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ หวังให้ประเทศมีความสวัสดี มีการประชุมหลายครั้ง ซึ่งสรุปความได้ว่า งานทำบุญใหญ่ประเทศครั้งนี้จะจัดขึ้นเป็น 2 พิธีการ คือ พิธีหลวง และพิธีราษฎร์

ทักษิณ ชินวัตร - พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
สำหรับ “พิธีหลวง” นั้น จะทำที่โบสถ์วัดพระแก้ว ในพระบรมมหาราชวัง โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นองค์ประธาน ซึ่งเป็นพิธีขององค์พระประมุขของแผ่นดินในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของประเทศ โดยมีเชื้อพระวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พร้อมผู้แทนประชาชนที่สำคัญเข้าร่วมพิธี จะมีการเจริญมหาราชปริต พร้อมด้วย ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร อาทิตตปริยายสูตร และ พรหมชาลสูตร รัตนสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรใหญ่ที่แสดงพระธรรมสำคัญ เพื่อความเป็นมงคล และความสวัสดีของประเทศชาติและราษฎร

ส่วน “พิธีราษฎร์” จัดที่ท้องสนามหลวง และศาลาว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดพร้อมกัน เป็นพิธีสวดมนต์ของประชาชนไม่ยาวนัก โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเสร็จงานจากพิธีหลวงแล้ว ก็จะมาเป็นประธานพิธีราษฎร์ ที่ท้องสนามหลวง เสร็จพิธีแล้ว ก็จะมีการจุดพลุให้เป็นที่เบิกบานใจของคนทั้งหลาย

“ลุงจิ๋ว” แกเป็นคนรู้ราชนิติ รู้การแผ่นดิน และประสานงานอยู่กับฝ่ายราชสำนักเป็นประจำ ดังนั้น ความคิดเห็นและการประชุมแต่ละครั้ง ลุงจิ๋วก็ทำเรื่องถวายรายงานเป็นการภายในเป็นขั้นเป็นตอน จนกระทั่งได้ข้อยุติความทั้งหลายที่เตรียมการได้ทราบถึงเบื้องพระยุคลบาทตลอด แบบแผนพิธีการต่างๆ จึงดำเนินไปอย่างราบรื่น

3. คณะกรรมการประชุมเกือบจะครั้งสุดท้าย ซึ่งเหลือเพียงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็เกิดเหตุทางการเมืองขึ้น เพราะไม่รู้ว่ามีผีสางตนใดสิงใจ “ทักษิณ” อยู่ๆ ก็ปลด “ลุงจิ๋ว” ออกจากรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม และปลด “ป๋าเหนาะ” ออกจากประธานวิป และในเรื่องนี้ก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้น

คณะกรรมการชุดใหม่ท่านจะคิดอ่านประการใดไม่อาจทราบเบื้องลึกเบื้องหลังได้ และในที่สุดได้สรุปการพิธีใหม่ โดยยกเลิกแบบแผนพิธีที่คณะกรรมการชุดลุงจิ๋วได้ทำไว้ทั้งหมด และกำหนดให้เหลือพิธีการเดียว คือ “พิธีราษฎร์” ที่ท้องสนามหลวง แต่ให้คุณทักษิณเข้าไปทำพิธีสวดมนต์ถวายสักการะพระแก้วมรกต ในพระบรมมหาราชวังก่อน มีคนเป็นผู้แทนคณะกรรมการเป็นเจ้ากี้เจ้าการ ไปสั่งเจ้าหน้าที่กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง โดยอ้างฐานะที่รัฐบาลเป็นผู้บังคับบัญชาสำนักพระราชวังตามกฎหมายในขณะนั้น และกำหนดการแต่งกายของคุณทักษิณ และคณะที่เข้าไปร่วมทำพิธีให้แต่ง “ชุดลำลอง” ที่ทำกันทั้งหมดนั้น ไม่เป็นไปตามหลัก “ไตรเพท” ในส่วนที่เป็นแบบพิธีกรรม และไม่เป็นไปตามแบบแผนพิธีพุทธมนต์ในพระพุทธศาสนาเลย ประหนึ่งคนไม่รู้ความ คิดอ่านทำการ หรือถ้าเป็นคนรู้ความ ก็ถือว่าเป็นการวางหมากวางกลที่พิลึกพิกลอยู่ แต่ก็ไม่มีใครทราบกำหนดแบบแผนพิธีเช่นนั้น

ในขณะที่การสั่งการเจ้าหน้าที่กองพิธีการสำนักพระราชวังที่ผิดเพี้ยนวิปริตประหนึ่งนายกรัฐมนตรี ทำตัวเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดิน ก็ไม่เป็นที่ต้องใจของชาวการราชพิธี ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมเป็นข่าวคราวพูดคุยกันในพระราชสำนัก ซึ่งใครๆ ได้ยินได้ฟังได้รู้ก็ไม่มีใครที่จะเห็นด้วยหรือต้องใจ เพราะโบสถ์วัดพระแก้วนั้นไม่ใช่วัดวาอารามของชาวบ้าน แต่ถือเป็นห้องพระของพระเจ้าอยู่หัว เป็นวัดพิเศษของพระราชจักรีวงศ์ ที่มีแต่พุทธาวาสเท่านั้น ในช่วงนั้นก็มีเสียงติเตียนว่ารัฐบาลล่วงพระราชอำนาจ ใช้โบสถ์วัดพระแก้วโดยไม่ขอรับพระบรมราชานุญาต ก็มีคนระดับรองนายกรัฐมนตรี ออกมาเถียงฉอดๆ ว่าได้ขอรับพระบรมราชานุญาตแล้ว

ครั้นแอบเข้าไปดูหนังสือที่อ้างนั้น ก็ปรากฏว่า ลงวันที่ 8 เมษายน 48 ในขณะที่วันจัดงาน 10 เมษายน 48 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ที่เตรียมการกันมาก่อนหน้านั้น เป็นการทำเอาเองตามอำเภอใจ ไม่ได้ขอรับพระบรมราชานุญาต และการมีหนังสือลักษณะนี้ ก็เห็นได้ว่าทำย้อนหลัง และไม่มีทางที่จะถึงสำนักราชเลขาธิการ ก่อนการจัดงานคือวันที่ 10 เมษายน ได้เลย

ทักษิณ ชินวัตร ทำพิธีในวัดพระแก้ว
4. คนทั้งหลายได้ทราบความเรื่องนี้ก็จากการถ่ายทอดโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจที่รัฐบาลได้จัดขึ้น ได้เห็นภาพนายกรัฐมนตรีใส่เสื้อลำลองเอวบ๊อบเข้าไปนั่งเป็นประธานพิธีในโบสถ์วัดพระแก้ว และมาจัดพิธีการที่ท้องสนามหลวง เป็นการวิปริตอาเพศ ทั้งสื่อและประชาชน ก็รุมกันด่าประณามคุณทักษิณกันเป็นการใหญ่ ซึ่งเชื่อว่า คุณทักษิณเองก็คงตกใจ ที่เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น เพราะแบบแผนการทำพิธีนี้เป็นเรื่องของคณะกรรมการ เมื่อออกกำหนดการเสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรี ก็ต้องไปตามกำหนดการนั้น เขาเตรียมการกันอย่างไร คุณทักษิณ แกคงได้รับรู้เมื่อมีหมายกำหนดการแล้วตามปกติ

นับแต่บัดนั้น เสียงนินทาว่าขาน ว่า คุณทักษิณกำเริบเหลิงในอำนาจ ตั้งตนเสมอพระมหากษัตริย์ ก็ซุบซิบลือกันกระฉ่อนแผ่นดิน ประกอบทั้งบรรดาลิ่วล้อบริวารที่ประจบสอพลอก็เอาใจตอบโต้ แก้ต่างให้คุณทักษิณแบบบ้าๆ บอๆ ถึงขนาดเถียงกันว่าที่ทำนั้นถูกแล้วชอบแล้ว จึงลามปาม ก้าวล่วงไปกระทบสถาบันฯ ก็ยิ่งไปกันใหญ่

ผมทราบข่าวก็ตกใจเหมือนกัน และโดยไมตรีที่มีกันอยู่ ก็ได้บอกญาติผู้ใหญ่ของคุณทักษิณ ว่า ดูสถานการณ์แล้วคุณทักษิณ น่าจะถูกใครวางยาเป็นแม่นมั่น อย่าไปหลงเชื่อพวกสอพลอ ให้รีบทำเรื่องขอรับพระราชทานอภัยโทษ และกราบบังคมทูลความทั้งหลายให้ทรงทราบตามความเป็นจริง ก็คงได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ญาติผู้ใหญ่ของคุณทักษิณก็บอกผมว่า จะบอกไปให้ แต่เขาคงไม่เอากับผมหรอก เพราะเป็นพี่น้องคนเดียวที่เขาไม่นับถือ เพราะมัวแต่ออกความเห็นขัดขวางไปทุกเรื่องราว เรื่องก็เป็นไปตามกรรม

5. เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเบื้องหลังการเมืองไทยที่เป็นปฐมเหตุให้คุณทักษิณ ถูกเกลียดชังจากคนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และบานปลายเถิดเทิงจนในที่สุดก็ทำให้คุณทักษิณถูกยึดอำนาจ

มาถึงวันนี้ คุณทักษิณ จะนึกคิดได้หรือยังว่าใครคือคนเจ้ากี้เจ้าการทำการเรื่องนี้ ? ก็คงจะรู้ว่ามีใครบ้าง และอาจพิจารณาได้ด้วยว่า คนผู้นี้รู้การแผ่นดินและราชนิติ รวมทั้งพิธีการทั้งหลาย หรือเป็นคนไร้เดียงสา เพราะถ้าหากเป็นผู้ไร้เดียงสา ก็ต้องโทษความโง่เขลาของคนไร้เดียงสานั้น และต้องโทษตัวเองที่ตาบอดไปหลงใช้คนไร้เดียงสา แต่ถ้าไม่ใช่ก็ย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!! และอาจจะรู้ได้ว่า “ไอ้โม่ง” รายนี้เป็นใครกันแน่ ????
ส่วนชาวบ้านอย่างเราท่านก็รู้เห็นแต่เหตุการณ์ที่ปรากฏ แต่เบื้องลึกเบื้องลับเบื้องหลัง ที่ซ่อนอยู่นั้นยากที่จะล่วงรู้ ดังนั้น หลายครั้งประชาชนจึงตกเป็นเหยื่อให้แก่ความอำมหิตของพวกหน้าเนื้อใจเสือ! และผลจากการทำพิธีผิดแบบผิดแผน โดยเลยจิตคิดชั่ว ของคนบางพวกจึงทำให้การทำบุญประเทศครั้งนั้นไม่สัมฤทธิ์ผล ให้บังเกิดเป็นความสวัสดีแก่บ้านเมือง และเกิดเป็นความขัดแย้งต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ใกล้ 20 ปีเต็มทีแล้ว

นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ในตำนานที่ว่ากันว่า เป็นปฐมวิบากกรรมสำหรับทักษิณ จนต้องระเหเร่ร่อน ไร้แผ่นดินอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ...เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้



**นัดชี้ชะตา “ก๊วนธรรมนัส” ไปต่อ หรือสะดุดหัวคะมำ หลุด ส.ส.เดี๋ยวรู้กัน!!

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
กรณี นักร้องดัง “ศรีสุวรรณ จรรยา” ยื่นหนังสือขอให้ กกต.ตรวจสอบมติพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขับ 21 ส.ส. ว่า ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และกรณีที่ “สมัย รามัญอุดม” ซึ่งอ้างว่าเป็นสมาชิกพรรค พปชร. พร้อมพวกรวมกว่า 100 คน ยื่นคำร้องตาม มาตรา 42 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ระบุว่า มติขับ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และ ส.ส.พปชร. รวม 21 คน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีรายงานว่า การประชุม กกต. ในวันที่ 14 ก.พ. เวลา 13.00 น. ที่ประชุมจะพิจารณากรณีดังกล่าวนี้

นี่ก็ต้องบอกว่า วันแห่งความรัก “วาเลนไทน์” กกต.จะให้กุหลาบหรือ ทำ “ก๊วนธรรมนัส” อกหัก ก็ต้องรอการชี้ชะตา หาก กกต.เห็นว่า การดำเนินการมีมติขับดังกล่าว เป็นไปตามที่กฎหมาย และข้อบังคับกำหนด ก็จะมีมติรับทราบตามกระบวนการ โดยจะมีการแจ้งหนังสือไปยังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ภายใน 3 วัน เพื่อให้ทันครบกำหนดในวันที่ 18 ก.พ.นี้ นั่นแปลว่า กลุ่มนี้ได้ “ไปต่อ”

แต่หากพบว่า มติขับดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่กฎหมาย และไม่เป็นไปตามข้อบังคับกำหนด กกต.มีอำนาจสั่งเพิกถอนมติของพรรค พปชร.ได้ เท่ากับว่า ทั้ง 21 ส.ส. ยังคงเป็นสมาชิกพรรค พปชร. ส่วนการไปสังกัดเป็นสมาชิกพรรคเศรษฐกิจไทย อาจทำให้เกิดความซ้ำซ้อน เรื่องของความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ส่งผลให้ความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงได้ เนื่องจาก ส.ส. 1 คนเป็นสมาชิกพรรคได้เพียง 1 พรรคเท่านั้น พูดง่ายๆ ว่า “หลุดจาก ส.ส.” ทั้งก๊วน

ไผ่ ลิกค์
อย่างไรก็ดี ตามทฤษฎีอาจจะมีแนวทางที่สาม หากที่ประชุม กกต. พิจารณาแล้วเห็นว่าข้อมูลยังไม่ครบถ้วน ไม่สามารถตัดสินได้เลย อาจมีการตั้งคณะทำงานฯ ขึ้นมาตรวจสอบ และขอข้อมูลก่อนที่จะพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องยืดเยื้อออกไป

ระหว่างที่รอคำตัดสินชี้ชะตานี้ ฟังว่า “พลพรรคธรรมนัส” ก็เดินหน้าทำพรรคใหม่ไปพลาง แว่วๆ ว่าจะเปลี่ยนชื่อจาก “เศรษฐกิจไทย” เป็น “รวมใจไทยชนะ” คอการเมืองรู้ข่าว ก็แซวกันครึกครื้นว่า ฟังดูเหมือนพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ของแรมโบ้ ยังไงพิกล ทั้งที่อยู่ในคนละขั้ว

“พรรคแรมโบ้” บอกว่า ตั้งขึ้นมาจากคำ “รวมไทย” ที่นายกฯใช้บ่อย และบอกโต้งๆ จะปกป้อง “ลุงตู่” ไม่ให้ถูก “บีบไข่” จะหนุนลุงตู่ เป็นนายกฯอีกสมัย แต่พรรคของ “ธรรมนัส” อุบัติขึ้นเพราะต้องการบีบ “ลุงตู่” แต่กลับเกลียดปลาไหลก็ยังเอาน้ำแกง ทั้งคำว่า “รวม” และ คำว่า “ไทยชนะ” ที่รัฐบาลลุงตู่ ใช้ในช่วงปราบโควิด มาอีกต่างหาก

งานนี้ “ก๊วนธรรมนัส” จำเป็นต้องผ่านด่าน กกต.ให้ได้ก่อน จะชนะหรือแพ้ ออกหัวหรือก้อย เดี๋ยวรู้กัน




กำลังโหลดความคิดเห็น