“ประยุทธ์” เปิดทำเนียบหารือ ทูตสาธารณรัฐสโลวัก เห็นพ้องร่วมกันสานต่อการค้าการลงทุน และส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพบริหารจัดการน้ำ และขยะ โดยทั้งสองฝ่ายต่างสนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-EU ให้สำเร็จ
วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายยาโรสลัฟ เอาต์ (H.E. Mr. Jaroslav Auxt) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักประจำประเทศไทย ยินดีที่ไทยกับสาธารณรัฐสโลวัก มีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและเป็นมิตรที่ดีต่อกันเสมอมากว่า 40 ปี โดย นายกรัฐมนตรี หวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมความสัมพันธ์และเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ ทั้งในกรอบทวิภาคี และพหุภาคี โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไทยพร้อมช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวัก อย่างเต็มที่ พร้อมหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันสานต่อความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน และริเริ่มความร่วมมือในสาขาใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ พร้อมกล่าวอวยพรเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวัก ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักประจำประเทศไทย ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้เข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้หารือร่วมกันในประเด็นสำคัญต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวัก พร้อมสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ตลอดจนประสงค์ที่จะขยายความร่วมมือกับไทยในสาขาใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการน้ำ และการบริหารจัดการขยะและของเสีย ซึ่งเป็นสาขาที่สาธารณรัฐสโลวักเชี่ยวชาญและมีศักยภาพ ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) ของไทย ซึ่งจะส่งผลถึงแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคหลังโควิด-19
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ไทยและสาธารณรัฐสโลวักยังมีโอกาสและช่องทางที่จะขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรีต้องการเพิ่มพูนการค้าระหว่างกันให้มากขึ้นอย่างสมดุล ทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่าทางการค้า พร้อมทั้งเชิญชวนให้นักลงทุนจากสาธารณรัฐสโลวักเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง 3 กลุ่มที่ไทยสนับสนุน นักลงทุนสโลวักสามารถใช้ประโยชน์จากที่ตั้งของไทยในการเป็นฐานการผลิตและกระจายสินค้าสู่ตลาดอาเซียน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ควรรื้อฟื้นกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Joint Commission on Economic Co-operation: JEC) ไทย-สโลวัก ครั้งที่ 1 ในระดับผู้แทนระดับสูง เพื่อเป็นช่องทางในการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน ตลอดจนสนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวัก ยืนยันพร้อมให้การสนับสนุนการเจรจาดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยเห็นว่า การเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป จะเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในประเด็นเรื่องสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมา โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวัก มีความห่วงใยต่อกรณีดังกล่าว รวมทั้งชื่นชมบทบาทของรัฐบาลไทย ชื่นชมความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและสาธารณสุขที่รัฐบาลไทยมีต่อเมียนมา เชื่อมั่นว่า ไทยและอาเซียนจะมีบทบาทสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ในเมียนมาดีขึ้น ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเร็ววัน
ในตอนท้าย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวัก ยินดีกับประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก (APEC) ในปีนี้ ซึ่งสโลวักพร้อมให้การสนับสนุนบทบาทของไทยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า การเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทย ภายใต้หัวข้อหลัก “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” จะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือไทย-สาธารณรัฐสโลวัก และความเชื่อมโยงระหว่างสหภาพยุโรป-อาเซียน