“อรรถวิชช์” ส่งทีม กม.ร้องกลับ “มาดามหลี” ใส่ร้าย ยันไม่เคยดูถูกเพศแม่ ขู่หากยังมีดรามา ดำเนินคดีถึงที่สุด ด้าน ผอ.กกต.กทม.เตือนใช้นโยบายรัฐหาเสียง ระวังเข้าข่ายสัญญาว่าให้ พร้อมเตรียมประชุมร่วม ตร.บ่ายนี้ ติวเข้มหาข่าวช่วงโค้งสุดท้าย
วันนี้ (14 ม.ค.) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมายพรรคกล้า พร้อมด้วย นายแสนยากร สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรค เข้ายื่นคำร้องต่อ นายสำราญ ตันพานิช ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กกต.) ประจำกรุงเทพมหานคร ขอให้ดำเนินการตามกฎหมายกับนางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 9 กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ กรณีใส่ร้ายด้วยความเท็จ จูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม โดย นายณัฐนันท์ กล่าวว่า มาร้องเรียนในกรณีที่นางสรัลรัศมิ์ ได้พูดพาดพิงนายอรรถวิชช์ โดยมีข้อความไม่ตรงกับความจริง กล่าวหานายอรรถวิชช์ ว่า ดูถูกเพศแม่ และพูดไม่ตรงความจริงว่าดูถูกสิทธิผู้เลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องยื่นให้กกต.กทม.ตรวจสอบ เพราะทำให้นายอรรถวิชช์เสียหาย
เมื่อถามว่า การกล่าวหาดังกล่าวจะมีหลักฐานใดมาชี้ได้มัดว่าใครกล่าวความจริง หรือใครพูดเท็จนั้น นายณัฐนันท์ กล่าวว่า หลักฐานนั้นค่อนข้างง่าย เพราะว่าทางผู้สมัครอีกพรรคหนึ่งได้อ้างอิงถึงคลิปการให้สัมภาษณ์คลิปหนึ่งที่มีความยาวไม่กี่นาที โดยระบุว่า มีเนื้อหา 1, 2, 3, 4 เมื่อตรวจสอบเนื้อหาแล้วไม่มีตามที่เขากล่าวอ้าง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปตรวจสอบว่าจริงหรือไม่จริง ซึ่งก็มีผู้ที่หลงเชื่อและเข้ามาโจมตีนายอรรถวิชช์ แต่ก็ยังมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอีกหลายคนเข้าใจว่าไม่มีข้อความนี้ โดยหลังจากนี้ จะเข้าสู่กระบวนการสืบสอบสวนของทาง กกต. หากเป็นความผิดก็อาจนำไปสู่การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและการดำเนินคดีอาญาต่อไป
“พรรคกล้าเราตั้งใจทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ อยากให้นายอรรถวิชช์ มีเวลาหาเสียงเลือกตั้ง ประชาสัมพันธ์นโยบายพรรคอย่างเต็มที่ หลังจากนี้ ถ้ายังมีดรามาทางการเมืองอีก หรือมีการนำเรื่องนี้ไปขยายความอีก ฝ่ายกฎหมายจะดำเนินการทางคดีให้ถึงที่สุด” นายณัฐนันท์ กล่าวและว่า ส่วนพื้นที่เลือกตั้งใน จ.สงขลา และชุมพร ก็มีร่องรอยในเรื่องการกระทำความผิดและมีหลักฐานบางส่วนอยู่ แต่จะยังไม่พูดจนกว่าจะนำเรื่องไปสู่การร้องเรียน
ด้าน นายสำราญ กล่าวว่า หลังได้รับคำร้องแล้วตามระเบียบสืบสวนไต่สวนของ กกต. ผอ.กกต.ก็จะดำเนินการตรวจสอบคำร้อง พยานหลักฐานประกอบคำร้องว่าเพียงพอที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ซึ่งไม่ว่า ผอ.กกต.จะมีความเห็นรับหรือไม่รับคำร้องก็จะเสนอต่อ กกต.ภายใน 24 ชม. อย่างไรก็ตาม หาก ผอ.กกต.มีความเห็นไม่รับคำร้อง แต่ กกต.มีความเห็นว่าสมควรรับคำร้อง ทาง กกต.กทม.ก็จะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อ ซึ่งการสืบสวนหลังรับคำร้องไว้พิจารณา เบื้องต้นระเบียบฯกำหนดไว้ให้ดำเนินการใน 20 วัน ขยายได้ 2 ครั้งๆ และไม่เกิน 15 วัน รวมอำนาจอของจังหวัดในการดำเนินการราว 50 วัน
นายสำราญ ยังกล่าวอีกว่า นอกจากประเด็นที่ผู้สมัครพรรคกล้าและพรรคพลังประชารัฐร้องกันเองแล้วขณะนี้ยังไม่มีเรื่องร้องเรียนอื่นเข้ามา ที่ระบุกันว่ามีการซื้อขายเสียง ก็ยังเป็นแค่การกล่าวอ้าง ซึ่งเรามีชุดป้องปราม หาข่าว ผู้ตรวจการเลือกตั้ง ร่วมทำงานกับ กองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 และตำรวจท้องที่ในเขตเลือกตั้ง คอยดำเนินการตรวจสอบ โดยในวันนี้ช่วงบ่ายที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 ก็จะมีการประชุมร่วมกันเพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจในเรื่องข้อกฎหมาย และแนวปฏิบัติต่างๆ
“ทุกครั้งที่มีข่าวว่ามีการซื้อเสียง เจ้าหน้าที่สืบสวน ชุดหาข่าว ชุดเคลื่อนที่เร็ว ซึ่งมีอยู่ในพื้นที่ก็ตจะเข้าไปตรวจสอบแต่ก็ยังเป็นแค่คำกล่าวอ้าง ยังไม่มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ซึ่งเราก็จะดำเนินการให้เข้มข้นขึ้นในช่วงโค้งสุดท้าย โดยบูรณาการร่วมกันทำงานระหว่างชุดป้องปราม หาข่าว ผู้ตรวจการเลือกตั้งที่มีการฝังตัวอยู่ในพื้นที่ ชุดเคลื่อนที่เร็วที่มีอยู่ทุกสถานีตำรวจในพื้นที่เลือกตั้ง และมีของส่วนกลางอีก 2 ชุด โดยสิ่งที่ผู้สมัคร พรรคการเมืองต้องระมัดระวังในการหาเสียงคือการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 73 ที่กฎหมายเขียนไว้ค่อนข้างครอบคลุม อย่างการหาเสียงผู้สมัครก็ต้องหาเสียงตามนโยบายที่พรรคได้ยื่นขอจดแจ้งจัดตั้งไว้ หรือถ้าจะนำนโยบายของรัฐบาลมาหาเสียงก็ต้องดูว่าเป็นผลงานที่ตนเองได้ร่วมกระทำหรือไม่ และต้องระวัง ว่าการหาเสียงต้องไม่เป็นลักษณะจูงใจ หรือสัญญาว่าจะให้ ซึ่งกรณีนี้เป็นเรื่องที่ยากที่จะแยกแยะ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงเพราะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกร้องเรียนได้”
เมื่อถามว่า หากผู้สมัครนำนโยบายของรัฐบาล เช่น นโยบายคนละครึ่งไปขึ้นในป้ายหาเสียงของตนเองทำได้หรือไม่ นายสำราญ กล่าวว่า ไม่ได้ เพราะตามระเบียบ กกต. เกี่ยวกับการจัดทำป้ายหาเสียง กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่าป้ายหาเสียงผู้สมัครสามารถประกอบด้วยภาพผู้สมัคร ภาพโลโก้พรรค