ข่าวปนคน คนปนข่าว
**หมูตายทั้งตัว เกษตรฯ-ปศุสัตว์ เอาใบบัวปิด “ไม่เปิดโรค” กลัวเสียชื่อ-ห่วงเก้าอี้ มาบอกวันนี้ทำดีที่สุดแล้ว ก็สายไป
ว่าด้วย “หมูแพง” ด้วยสาเหตุอะไร? วันนี้สังคมรับรู้กันไปหมดแล้วว่า เพราะปริมาณหมูออกสู่ตลาดมีน้อย ด้วยผู้เลี้ยงสุกรเผชิญกับโรคระบาดที่รักษาไม่ได้ จำใจต้องทำลายทิ้ง
โรคระบาดที่ว่านี้เรียกว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF สร้างปัญหาให้กับฟาร์มหมูตั้งแต่รายใหญ่ไล่ไปจนรายเล็กที่เลี้ยงแบบบ้านๆ จากปี 61 ที่ตรวจพบเริ่มมีความกังวลว่าจะ “เอาไม่อยู่” แล้วถูกหยิบยกมาเป็นวาระแห่งชาติ ตามมติ ครม.ปี 62 ผ่านมาสองปีกว่าๆ ถึงปีนี้ 65 ก็เป็นอย่างที่รู้ๆ กัน ประชาชนได้บริโภคหมูในราคาแพง กลายเป็นคำถามว่า รัฐบาล “ปิด” เรื่องโรคระบาดหมู เอามือปิดฟ้า ไม่ยอมรับว่าเกิดโรคระบาด ทำนอง “หมูตายทั้งตัวเอาใบบัวปิด” ใช่หรือไม่ ?
เวลานี้ กระแสสังคมกดดันให้ผู้รับผิดชอบ “กรมปศุสัตว์ และกระทรวงเกษตรฯ” ออกมาพูดความจริง
“ประภัตร โพธสุธน” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ดูแลกรมปศุสัตว์ บอกแค่ว่า รับรู้ว่ามีโรคระบาด และได้มีมาตรการต่างๆ แก้ไขปัญหาออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ครม.ได้อนุมัติงบกลาง 574 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา ให้ชดเชยกับผู้เลี้ยงสุกรรายเล็ก รายย่อย ที่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมโรค
แต่พูดไปทำไมมี ที่คนสงสัยกันว่า สองปีกว่าๆ ที่เกิดโรค ASF กระทรวงเกษตรฯ ทำอะไรอยู่? งานนี้ “ประภัตร” เลี่ยงที่จะพูดถึง
ด้าน “นายสัตวแพทย์ สรวิศ ธานีโต” อธิบดีกรมปศุสัตว์ ยืนยัน กรมฯ ไม่เคยปิดข้อมูล หลังจากนี้ ได้ร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายกสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม และสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายอยากให้ผู้เลี้ยงสุกรที่เหลืออยู่เดือดร้อนน้อยที่สุด เพราะฉะนั้น การประกาศโรคไม่ได้หมายความว่า ทั่วประเทศจะพบโรคระบาดทั้งหมด แต่จะมีการเฝ้าระวังมากขึ้น หากตรวจพบเชื้อ กรมฯ จะเร่งประกาศควบคุมพื้นที่ เพื่อไม่ให้กระจายไปสู่พื้นที่อื่นต่อไป หลังจากนี้ จะมีการสุ่มตรวจในทุกพื้นที่เพิ่มขึ้นด้วย
ในการทำงานมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา “อธิบดีกรมปศุสัตว์” บอกว่า เรื่องนี้ยังไม่ถือว่าหนักที่สุด เพราะตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่ง ในปี 2561 ก็เจอปัญหา โรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า (เอเอชเอส) และ ลัมปีสกิน ก็ผ่านมาได้ และขอพูดเลยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำงานด้วยความตั้งใจ และซื่อสัตย์สุจริต ดังนั้น คิดว่าทุกคนรวมถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ก็น่าจะเห็นถึงความตั้งใจที่เขาต้องการทำงานให้ดีที่สุด เพื่อผู้เลี้ยงสุกร และสัตว์อื่นๆ จนกว่าจะเกษียณราชการในอีก 8 เดือนข้างหน้านี้ และยืนยันว่า จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง แม้โดนกดดันจากหลายฝ่าย เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ทุจริต และมั่นใจว่า ตัวเองทำผลงานได้ดีที่สุดแล้ว
ถามว่า นี่เป็นคำตอบที่สังคมต้องการหรือไม่ ท่านอธิบดีฯก็น่าจะรู้ดีกว่าใครว่า ความเป็นไปหากไล่เรียงไทม์ไลน์ ตั้งแต่มีโรค ASF ที่ว่าได้ทำดีที่สุดแล้วนั้น ก็มีข้อย้อนแย้งอยู่มากพอสมควร
วงในที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหมู เขาฝากมาว่า มีหลักฐานประจักษ์ชัดว่าเรื่องผลกระทบของโรคAFS ถูกนำเสนอผ่านองค์กรเกษตรฯ และกระทรวงฯ มาตั้งแต่แรกพบโรคแล้ว ทั้งชี้และแนะนำว่า โรคนี้จะลุกลาม รักษาก็ไม่ได้ วัคซีนก็ไม่มี หรือถ้ามี ก็เป็นเรื่องที่ทำยากมาก
หลายๆ ประเทศเป็นกันมาก แต่ประเทศไทย เข้ามาปี 61 ตอนนั้นทางการไม่ยอมรับว่า เป็นโรค ASF รายงานว่า เป็นเพียงโรคธรรมดาอีกโรคหนึ่ง คือ โรคเพิร์ส HP-PPRS หรือ CSF แถมประโคมโอ่ว่า ประเทศไทยปลอดโรคร้ายแรงนี้ เป็น โอเอซีส ของอุตสาหกรรมหมู ไปนู่น ทั้งๆ ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตรวจพบระบาดไปทั่วภูมิภาคของไทยไปเรียบร้อย
กรมปศุสัตว์ รับรู้แต่ไม่ประกาศโรค หรือภาษาคนเลี้ยงหมู เรียกว่า “ไม่เปิดโรค”
ถึงที่สุดจำนนต่อสถานการณ์ จึงประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ครม.มีมติ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 62
ถามว่า ทำไมกรมปศุสัตว์ และกระทรวงเกษตรฯ “ไม่เปิดโรค” เพราะเกษตรกร และเอกชน “กลัว” ถูกทำลายหมูทั้งฟาร์ม ไม่สามารถส่งออก ประชาชนจะแตกตื่น ไม่กินหมู และที่กลัวที่สุด คือ กลัวรัฐจะกลั่นแกล้ง ถ้ารัฐไม่พอใจ
ส่วนภาครัฐ กลัวอะไรกับการเปิดโรค ASF เดาได้ไม่ยาก เพราะกลัวเสียชื่อเสียง กลัวกระทบตำแหน่งหน้าที่การงาน และกลัวเสียผลประโยชน์
ระหว่าง “เปิดโรค” กับ “ปิดโรค” จึงเป็นการยื้อปัญหามานาน ถ้าเปิดตอนนั้น แน่นอนย่อมมีการเยียวยา ชดเชย ให้กับเกษตรกรที่ถูกทำลายหมู ซึ่งจะเป็นเงินงบประมาณก้อนใหญ่ แต่สิ่งที่จะได้รับคือ ความน่าเชื่อถือของกรมปศุสัตว์เอง สัตวแพทย์ไทย และ รัฐบาล รวมไปถึงต่อวงการหมูในสายตานานาประเทศ
แต่ “กรมปศุสัตว์” ก็ทิ้งโอกาสนั้น วันนี้โรคระบาด ASF ทำให้หมูแพง คนเลี้ยงเดือดร้อน คนกินสาหัส กรมปศุสัตว์กำลังถูกตั้งคำถามถึงความเชื่อถือ และอาจจะล้มละลายในความน่าเชื่อถือ ตกต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา และประการสำคัญ... หาก “เอาไม่อยู่” เกษตรกรรายย่อย รายเล็ก หรือการเลี้ยงแบบดั้งเดิมของชาวบ้านก็จะพังพินาศหมดสิ้นไปในน้ำมือของกรมปศุสัตว์ ยุคนี้
เรียกว่าเตะหมูข้าปากนายทุนกันละเที่ยวนี้!!
ด้วยว่าสถานการณ์มันยากที่กำจัดโรคนี้ออกจากประเทศไทยแล้ว และต้องใช้งบประมาณสูง และต้องใจถึง กว่าจะกอบกู้ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
คำพูดง่ายๆ ที่ว่า “ทำดีที่สุดแล้ว” จึงแน่ใจแล้วหรือ ... พูดวันนี้สายเกินไปหรือไม่? ลุงๆ ผู้มีอำนาจอาจไม่คิด เพราะห่วงแต่ชื่อเสียง-เก้าอี้ แต่ชาวบ้านร้านตลาดทั้งหลายย่อมคิดไปอีกทางแน่ๆ
**แมลงหวี่ แมลงวัน โปรดทราบ “มาดามแป้ง” เคลียร์ชัดตัดจบ ยังไม่สนใจการเมือง-ผู้ว่าฯ กทม.ขอมุ่งกีฬา
หลังพาทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ไปคว้าแชมป์ฟุตบอล AFFซูซูกิ คัพ 2020 ที่สิงคโปร์ มาเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับชาวไทยได้สำเร็จ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ในฐานะผู้จัดการทีมชาติไทย ก็ได้เข้าไปนั่งในหัวใจของแฟนๆ และคนไทยทั้งประเทศเป็นที่เรียบร้อย
แอ็กชันระหว่างลุ้นเกม ลุ้นแชมป์ ที่เห็นกันในโซเชียลฯ ยังติดตาตรึงใจแฟนคลับ รวมทั้งคลิปที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต่อสายไปให้กำลังใจ และอวยพรให้นำชัยชนะกลับมา
หลังหอบถ้วยแชมป์กลับมา เมื่อสองวันก่อน “มาดามแป้ง” ก็พา “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กัปตันทีม “ช้างศึก” กับนักฟุตบอลบางส่วนเข้าทำเนียบฯ พบ “ลุงป้อม” เพื่อแสดงความขอบคุณ พร้อมมอบเสื้อฟุตบอลให้ลุงป้อมด้วย
ล่าสุด เมื่อวานนี้ “มาดามแป้ง” พร้อมทัพช้างศึกชุดใหญ่ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา “ก้องศักดิ์ ยอดมณี” ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก็ยกทีมเข้าทำเนียบฯอีกครั้ง เพื่อเยี่ยมคารวะ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เห็นภาพข่าว “มาดามแป้ง” ก็เข้าทำเนียบฯ ติดต่อกันอย่างนี้ แม้จะด้วยเรื่องกีฬา แต่ห้ามยากที่จะไม่ให้คนคิดผูกโยงไปถึงเรื่องการเมือง ...โดยเฉพาะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ตอนนี้ “ลุงป้อม” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังหาคนที่จะมาสู้กับ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ไม่ได้ เพราะเป็นเต็งหนึ่งในทุกโพล
ก็มีแต่ “มาดามแป้ง” นี่แหละที่กระแสกำลังมา ประเภทว่าถ้าขอสามคำ ก็ต้องบอกว่า “สวย รวย เก่ง”... แบบนี้แหละคือ “ผู้บริหาร” ที่ถูกจริตคนกรุง
เข้าทำเนียบฯ เที่ยวล่าสุดนี้ จึงถูกนักข่าวถามถึงเรื่อง“ผู้ว่าฯ กทม.” ซึ่ง “มาดามแป้ง” ก็ตอบว่า...
ตนเองถูกวางตัวเป็นแคนดิเดต มาทุกยุคทุกสมัย ขณะนี้ยังไม่มีอะไรทั้งสิ้น โดยความจริงแล้วไม่ได้สนใจที่จะลงเล่นการเมือง แต่จะตอบปฏิเสธไปเลย ก็ยังไม่ใช่ เพราะส่วนตัวเห็นว่าเมื่อพูดไปแล้ว ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น หรือโชคชะตา คำพูดก็จะถูกจารึกไว้เป็นประวัติ ดังนั้น วันนี้จึงยังไม่ตัดสินใจใดๆ แต่ขอบคุณหลายคนที่มีคำถามส่งเข้ามาในเพจ อยากให้สมัครผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร แต่ ณ เวลานี้ อยากพาบอลไทยไปบอลโลกก่อน ...
...ระหว่างที่นำทีมฟุตบอลชาติไทยเข้าพบ พล.อ.ประวิตร ก่อนหน้านี้ ท่านได้แสดงความยินดี แต่ก็ไม่ได้ทาบทาม ยังไม่เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนการพัฒนากรุงเทพมหานครกับตนเอง รวมถึงยังไม่มีอะไร ที่เป็นการทาบทามจาก พล.อ.ประวิตร...
เป็นคำตอบที่ระมัดระวัง และตั้งใจตอบ ซึ่งความระหว่างบรรทัดน่าจะชัดเจนแล้วว่า “มาดามแป้ง” ปฏิเสธที่จะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่จะมีขึ้นในครั้งนี้ ...แต่บางคนมองว่า “ยังมีกั๊ก” ตรงคำว่า “วันนี้จึงยังไม่ตัดสินใจใดๆ” ...แสดงว่าวันหน้าอาจตัดสินใจก็ได้
เอาเป็นว่าแฟนคลับ “มาดามแป้ง” น่าจะโฟกัส และให้กำลังใจในภารกิจการพาบอลไทยไปบอลโลกกันดีกว่า... ส่วนผู้ว่าฯ กทม. ถ้ามันเป็นโชคชะตา เดี๋ยวคงได้เห็นกัน!!