“ลุงตู่” โพสต์เฟซบุ๊กวันเด็ก หวังให้เด็ก เยาวชนไทย มีความคิดที่สร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบ และจริยธรรมอันดีเป็นพลเมืองดีของบ้านเมือง ตั้งเป้าเด็กไทยทุกคน ต้องได้รับโอกาสในการศึกษาและได้รับสิทธิในโอกาส ที่เท่าเทียมกัน
วันนี้ (8 ม.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayuth Chan-o-cha” ระบุว่า
ลูกหลานไทยที่เป็นอนาคตของชาติ และพี่น้องประชาชนครับ
เนื่องใน “วันเด็กแห่งชาติ” ปี 2565 ผมได้มอบคำขวัญว่า “รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม” โดยคาดหวังให้เยาวชนไทยมีความคิดที่สร้างสรรค์ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล ในศตวรรษที่ 21 รู้หน้าที่และมีความรับผิดชอบ ทั้งต่อตนเอง สังคม ประเทศชาติ และสังคมโลก ควบคู่กับการมีคุณธรรมและจริยธรรมอันดี เพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อย่างมีความสุข พร้อมทั้งยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และเติบใหญ่เป็นพลเมืองดี ของบ้านเมือง เป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่าในการขับเคลื่อนประเทศให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
สำหรับเยาวชนนั้น “การศึกษา” เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ตัวผมเองให้ความสำคัญควบคู่กับเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนไทยทุกคน โดยสิ่งที่ผมถือเป็นภารกิจสำคัญของผมและรัฐบาล ที่พยายามจะทำให้สำเร็จให้มากที่สุดในเวลาที่เหลืออยู่ คือ การให้ “ความเสมอภาคทางโอกาส” โดยผมตั้งเป้าหมายว่า เด็กไทยทุกคน ต้องได้รับโอกาสในการศึกษา การพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ได้มากที่สุด จะต้องไม่มีเด็กไทย หรือเด็กคนไหนที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ถูกปิดกั้นหรือจำกัดโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพียงเพราะฐานะ ถิ่นกำเนิด หรือปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ ทุกคนต้อง “ได้รับสิทธิในโอกาส” ที่เท่าเทียมกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ ที่ทรงคุณค่าของประเทศในหลายๆ ด้านที่สำคัญ ได้แก่
1. การสร้างกองทุนต่างๆ เพื่อช่วยเหลือทางการศึกษา นอกจากการแก้ปัญหากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์แล้ว รัฐบาลยังได้ผลักดันให้เกิดกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) รวมทั้งสร้างกลไกในการทำงานจนสามารถช่วยเหลือเยาวชนกลุ่มเปราะบางนับล้านราย ไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษา สร้างความเสมอภาคในสังคมไทยกับเด็กไทย ที่แม้จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่การศึกษาจะยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับทุกคนได้
2. การสร้างโอกาสงานและอาชีพแห่งอนาคต เช่น เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ที่ไม่เพียงจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ “นวัตกร” เพื่อให้เด็กไทยในวันนี้ พร้อมที่ก้าวไปสู่เยาวชนยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว ยังเป็นพื้นที่นัดพบของนักการศึกษา นักวิจัย นักลงทุน และผู้ประกอบการ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายในการยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมไอซีทีเดิมไปสู่อุตสาหกรรมดิจิทัลยุคใหม่ (New S-Curve Digital Industry) ที่เป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” อีกทั้งจะเป็นโมเดลการพัฒนาของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) อีก 10 แห่ง ที่จะกระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศอีกด้วย
3. การวางเครือข่าย “เน็ตประชารัฐ” ให้ครบทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ เพื่อให้เด็กๆ มีโอกาสอย่างเท่าเทียมในการเข้าถึงองค์ความรู้จากทั่วโลก เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ค้นคว้า ศึกษา วิจัย รองรับการศึกษาทางไกล ทั้ง Online, On-site และ On demand สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีโครงการอีกมากที่ผมและรัฐบาลได้วางแนวทางมอบหมายหน่วยงานต่างๆ ที่จะช่วยยกระดับ สร้างโอกาส ผลิตเยาวชนไทยให้มีอนาคตที่ดี ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาประเทศอย่างรอบด้านและยั่งยืน ทั้งด้าน “STEM” (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) แต่ไม่ละเลยด้าน “ศิลปะ” (Art) วัฒนธรรมไทย ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งรวมเป็นแนวทาง “STEAM” รวมไปถึงโครงการที่ปลูกฝังแนวคิดการเป็น “ผู้ประกอบการ” (Entrepreneurial Spirit) ในอาชีพแห่งอนาคตต่างๆ มากมาย ที่มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมตั้งแต่วัยเยาว์ จะได้มาช่วยกันพลิกโฉม ขับเคลื่อนประเทศชาติในวันข้างหน้ากันต่อไปครับ