เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดก็เป็นไปตามคาดหมาย สำหรับโรคระบาดโควิด-19 กลายพันธุ์ในชื่อ “โอมิครอน” ที่เริ่มระบาดในแถบแอฟริกาตอนใต้ แล้วลุกลามไปทั่วโลกในเวลานี้ นอกเหนือจากทวีปแอฟริกาดังกล่าวแล้ว ยุโรปหลายประเทศกำลังมีการระบาดอย่างหนัก จนทำให้บางประเทศ เช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ได้ยกระดับการควบคุมและกลับเข้าสู่ภาวะ “ล็อกดาวน์” อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เมื่อสำรวจจากข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก (who) ก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับ “สายพันธุ์กลายพันธุ์” ดังกล่าวนี้จำกัดมาก แม้จะบอกว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการป่วยไม่ร้ายแรง และมีผู้เสียชีวิตจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ “เดลตา” ที่ระบาดหนักก่อนหน้า และยังระบาดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศไทยหลังจากที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ “โอมิครอน” รายแรกที่เป็นชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ และมีการกักตัวตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขไปแล้ว ผ่านไปราวสองสัปดาห์มาจนถึงวันนี้ ปรากฏว่า พบผู้ติดเชื้อดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดล้วนเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศ และมีการกักตัว แต่ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีการพบผู้ติดเชื้อในประเทศ
นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองโรคระบาด กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สำหรับการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย ขณะนี้พบผู้ติดเชื้อรายแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นหญิงไทย อายุ 49 ปี รับเชื้อมาจากสามีชาวโคลอมเบีย อายุ 62 ปี อาชีพนักบิน เดินทางมาจากประเทศไนจีเรีย โดยทั้งคู่มีประวัติรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ครบทั้ง 2 เข็มแล้ว
“ภรรยารายนี้น่าจะเป็นคนแรกของเมืองไทยที่ติดเชื้อจากสามีที่เดินทางจากต่างประเทศ และเป็นการติดเชื้อโอมิครอนในประเทศรายแรก ส่วนผู้สัมผัสบนเครื่องบินของสามี ไม่มี เนื่องจากนั่งห่างกันตามมาตรการ อย่างไรก็ตาม ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของภรรยารายนี้ คือ คนขับแท็กซี่ไปส่ง รพ. การตรวจ RT-PCR ให้ผลลบ และอยู่ระหว่างการกักตัว 14 วัน และตรวจยืนยันครั้งที่ 2 คาดว่า ผลออกพรุ่งนี้
เบื้องต้น อาการของสามีขณะที่อยู่ รพ. มีอาการเชื้อลงปอด อาการหนักขึ้น แต่ไม่ได้ใส่ท่อช่วยหายใจ ทั้งนี้ ล่าสุด อาการดีขึ้นแล้ว ส่วนภรรยาได้รับวัคซีนแอสตร้าฯ 2 เข็มแล้ว และไม่มีอาการรุนแรงอะไร”
ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย หลังมีรายงานข่าวผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศเพิ่มขึ้น จากคณะนักแสวงบุญ ที่บินกลับมาจากประเทศซาอุดีอาระเบีย ว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อโอมิครอน รวมแล้ว 63 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ยืนยันสายพันธุ์แล้วกว่า 20 ราย โดยทุกรายเชื่อมโยงกับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ยังไม่พบการระบาดภายในประเทศ พบว่า 1 ใน 4 ของผู้เดินทางจากต่างประเทศที่ติดเชื้อโควิด-19 เป็นสายพันธุ์โอมิครอน จากการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางผลเป็นลบ และเดินทางมาถึงประเทศไทย ในระยะฟักตัวในระบบ Test&Go ทำให้ตรวจไม่พบเชื้อ และอาจไปแพร่เชื้อในภายหลังได้ จึงอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายต่อไป
ส่วนโอมิครอนจะระบาดเร็ว และรุนแรงมากแค่ไหนนั้น จากข้อมูลพบว่า มีการแพร่ระบาดจาก 1 คน ไปยังคนอื่นๆ ประมาณ 8.45 เท่า ซึ่งเร็วกว่าสายพันธุ์เดลตา ส่วนอัตราการเจ็บป่วยจะมีความรุนแรงมากแค่ไหนนั้น ข้อมูลจากแอฟริกาพบว่ามีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น แต่การป่วยหนักและเสียชีวิตนั้น ยังไม่สามารสรุปได้ เพราะมีข้อมูลน้อยมาก
ก่อนหน้านี้ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้เคยออกมาระบุว่า สายพันธุ์ “โอมิครอน” จะเป็นสายพันธุ์ระบาดใหม่ที่จะมาแทน “เดลตา” ในอนาคต
ขณะที่ กระทรวงสาธารณสุข โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุว่า เตรียมยกระดับการคัดกรองนักท่องเที่ยว หรือผู้เดินทางเข้าประเทศให้เข้มงวดขึ้น โดยจะเปลี่ยนเป็นการให้ “กักตัว” ทั้งหมด ซึ่งจะมีการหารือกันอีกครั้งโดยเฉพาะการเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ก่อน
เมื่อได้เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ที่มีตัวเลขพุ่งกระฉูดในรอบสัปดาห์นี้ ทำให้บางประเทศเริ่มกลับมาใช้มาตรการบังคับที่เข้มงวดอีกครั้ง ที่สำคัญ ประเทศเหล่านี้มีอัตราการฉีดวัคซีนในอัตราที่สูงมาก แต่ปรากฏมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก รวมทั้งเริ่มมีผู้เสียชีวิตแล้ว
ทำให้อดเป็นห่วงประเทศไทยไม่ได้ เนื่องจากทุกอย่างกำลังจะเริ่มตั้งไข่ กำลังจะค่อยๆ เดินไปข้างหน้า ชาวบ้านต่างเริ่มกลับมาทำมาหากิน มีการเดินทางท่องเที่ยวผ่อนคลาย หลังจากต้องจับเจ่าอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมากนัก เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการมาไม่นาน ก็เกิดมีการระบาดของสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอีก ทำให้หลายคนเกิดความกังวลว่าทุกอย่างจะหวนกลับมาเลวร้ายซ้ำรอยอีกหรือไม่
อย่างไรก็ดี ก็มีบางคนที่กลับมองเห็นว่า สำหรับประเทศไทยไม่น่าจะเลวร้ายเหมือนกับในประเทศแถบยุโรป หรืออเมริกา อาจเป็นเพราะเราโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นต่างกันแค่ไหน แต่ก็ยังเห็นตรงกัน ก็คือ ส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดยัง “ตื่นตัวในมาตรการป้องกัน” เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ และการเว้นระยะห่าง ส่วนการฉีดวัคซีนคนไทยก็ฉีดกันเกินร้อยละ 70 แล้ว แม้จะมีการด้อยค่าบางยี่ห้อ แต่ก็ฉีดกันเป็นจำนวนมาก ยังไม่ถึงขั้นออกมาประท้วงต้านวัคซีนหรือไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัย เหมือนในประเทศทางตะวันตก ที่กำลังกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง
ดังนั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และแนวโน้มการระบาดในอนาคตที่เชื่อว่าสายพันธุ์ “โอมิครอน” จะต้องเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทยอย่างแน่นอน ตามที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์เอาไว้ แต่ขณะเดียวกัน ยังเชื่อว่า คนไทยและมาตรการทางสาธารณสุขของไทยน่าจะรับมือได้เหมือนกับช่วงที่ผ่านมา เพราะคนไทยเริ่มคุ้นกับการ “ระวังตัว” และการ “อยู่กับโควิด” ให้ได้ในแบบ “นิวนอร์มัล” ที่สำคัญ หาก “การ์ดไม่ตก” ไม่ประมาทเสียอย่าง ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามวิถีใหม่อย่างแน่นอน
และยังเชื่อว่า หากเราไม่ประมาท การ์ดไม่ตก คนไทยก็จะเที่ยวฉลองปีใหม่ในรูปแบบใหม่ตามที่วางแผนเอาไว้ แต่ขณะเดียวกัน หากไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ละเลยมาตรการควบคุม มันก็ช่วยไม่ได้ที่ทุกอย่างอาจต้องพังครืนลงมา ทุกอย่างมันอยู่ที่เราทุกคนว่าจะเลือกแบบไหน !!