ข่าวปนคน คนปนข่าว
**กรรมใดใครก่อ เจ้าสัวเปรมชัยล่าเสือดำ บทสรุปที่ต้องติดตาม
คดีเสือดำ กับ เจ้าสัว “เปรมชัย กรรณสูต” ประธานบริหารและกรรมการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก ด้วย “เปรมชัย” นั้น เป็นบุคคลมีชื่อเสียงระดับ “เจ้าสัว” ที่คุมอาณาจักรธุรกิจก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของประเทศที่มีมูลค่านับแสนล้าน แต่ถูกจับได้พร้อมพวก ขณะเข้าล่าเสือดำและสัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี
เรียกว่า เป็นคดี “สะท้านป่า สะเทือนใจสังคม” ที่ต่อสู้คดีกันมากว่า 3 ปี ท่ามกลางกระแสตื่นตัวของนักอนุรักษ์ และเสียงเรียกร้องประชาชน “เสือดำต้องไม่ตายฟรี” และความเท่าเทียมกันของผู้คนในสังคม ในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น. มีรายงานว่าศาลจังหวัดทองผาภูมิ ได้นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งจะได้รู้บทสรุปกันว่า คดีนี้จะลงเอยอย่างไร ?!!
แน่นอนว่า เรื่องนี้มาถึงจุดนี้ก็ต้องสดุดีวีรกรรมของเจ้าหน้าที่เขตอนุรักษ์ และผู้เกี่ยวข้องในระดับชั้นต่างๆ ที่ต่างทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพลใดๆ ของคนระดับ “เจ้าสัวเปรมชัย”
ย้อนความจำกันสักหน่อย คดีนี้เกิดขึ้นระหว่าง วันที่ 4-6 ก.พ. 61 เมื่อ “วิเชียร ชิณวงษ์” อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก นำกำลังเข้าจับกุม “เปรมชัย” พร้อมพวกรวม 4 คน ขณะเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ท้องที่ ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี พร้อมยึดของกลาง ประกอบด้วย ซากเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง พร้อมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก
ต่อมา 19 มี.ค. 62 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษ จำเลยที่ 1 “เปรมชัย” จำคุก 16 เดือน ไม่รอลงอาญา จากข้อหาดังนี้ 1. ข้อหาร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต พิพากษา จำคุก 6 เดือน 2. ข้อหาล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ 3. ข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ (กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด) จำคุก 8 เดือน 4. ข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 5. ข้อหาร่วมกันซ่อนเร้นซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำความผิดกฎหมาย (กรรมเดียวเป็นความผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด) จำคุก 2 เดือน
จำเลยที่ 2 “ยงค์ โดดเครือ” ถูกลงโทษจำคุก 13 เดือน จำเลยที่ 3 “นางนที เรียมแสน” จำคุก 4 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอรอลงอาญา มีกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 4 “ธานี ทุมมาศ” รวมโทษจำคุก 2 ปี 17 เดือน และให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 ร่วมกันชำระค่าเสียหาย 2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ก.พ.61 จนกว่าจะชำระเสร็จ แก่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
“เปรมชัย และ ยงค์” ยื่นหลักทรัพย์คนละ 400,000 บาท “ธานี ทุมมาศ” ยื่นหลักทรัพย์ 500,000 บาท เพื่อประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
จากนั้น 12 ธ.ค. 62 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 7 โดยพิพากษายืนความผิดของจำเลยตามศาลชั้นต้น เพิ่มโทษ “เปรมชัย” จำเลยที่ 1 เป็นจำคุก 2 ปี 14 เดือน “ยงค์” เพิ่มโทษเป็นจำคุก 2 ปี 17 เดือน “นางนที” เพิ่มโทษเป็นจำคุก 1 ปี 8 เดือน ปรับเงิน 40,000 บาท แต่โทษจำคุก ให้รอลงอาญา 2 ปี
ส่วน “ธานี” เพิ่มโทษเป็นจำคุก 2 ปี 21 เดือน พร้อมทั้งให้จำเลยทั้ง 4 คน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช รวม 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากนี้ ศาลยังมีคำสั่งให้เพิ่มหลักทรัพย์ประกันกันตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อีกคนละ 200,000 บาท
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 63 “เปรมชัย” จำเลยที่ 1 “ยงค์” จำเลยที่ 2 และ “ธานี” จำเลยที่ 4 ได้ยื่นคำร้องขอฎีกา โดยผู้พิพากษาได้รับรองอนุญาตให้จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ส่วน “นางนที” แม่ครัว จำเลยที่ 3 คดียุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 เนื่องจากอัยการโจทก์ และจำเลยไม่ติดใจยื่นฎีกา คดีจึงถือว่าสิ้นสุด
จากวันที่ถูกจับกุมจนคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เจ้าสัวและพวกต่อสู้คดีมาเป็นเวลากว่า 3 ปีเต็ม สุดท้ายบทสรุป คดีเจ้าสัวล่าเสือดำ กำลังจะได้รับการชี้ขาดจากศาลฎีกา ในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ งานนี้ต้องติดตามกันอย่ากะพริบตา.
** “นิพิฏฐ์” อำลา ปชป. ขอทำสงครามครั้งสุดท้ายในสีเสื้อ “สี่กุมาร”
“นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ปิดฉาก 30 ปี และ ส.ส.พัทลุง 8 สมัย ภายใต้สีเสื้อประชาธิปัตย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากไปกราบลา “ชวน หลีกภัย” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานสภาที่ปรึกษาและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์... กราบลาพระแม่ธรณีบีบมวยผม ยืนซึมซับภาพอดีต บรรยากาศเก่า ที่หน้าอาคารควง อภัยวงศ์ ก่อนยืนใบลาออกกับนายทะเบียนพรรคเมื่อวันวาน (6 ธ.ค.)
ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อ 24 มี.ค. 62 “นิพิฏฐ์” ที่เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรั้งตำแหน่ง “แม่ทัพภาคใต้ ” ถูกพลพรรคภูมิใจไทย และ พลังประชารัฐ เจาะฐานที่มั่นคว้าที่นั่ง ส.ส.ไปหลายเก้าอี้ รวมทั้งเก้าอี้ ส.ส.เขต 2 พัทลุง ที่ “นิพิฏฐ์” ครองมา 8 สมัยด้วย
ยิ่งในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคแทน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ลาออกนั้น “นิพิฏฐ์” ก็ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่สนับสนุน “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันอีกต่างหาก ดังนั้น บทบาทภายในพรรคจึงถูก “ด้อยค่า” ลงไปเยอะ ซึ่งเขาก็รู้ตัวดี จึงลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค
แต่เรื่องที่เสมือนฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้ “นิพิฏฐ์” ถึงกับตัดสินใจลาออกจากพรรค ก็จากเหตุการณ์เมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง “จุรินทร์” และคณะผู้บริหารพรรค “ออนทัวร์” ภาคใต้ เพื่อจัดตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้า
และที่ จ.พัทลุง ซึ่งมี ส.ส.ได้ 3 คน มีการวางตัว “สุพัชรี ธรรมเพชร” อดีต ส.ส.พัทลุง ที่เขต 1 ส่วนเขต 3 ส่ง “นริศ ขำนุรักษ์” ส.ส.พัทลุง ลงรักษาพื้นที่เดิม ขณะที่เขต 2 ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของ “นิพิฏฐ์” นั้น พรรคประกาศส่ง “นิติศักดิ์ ธรรมเพชร” ลูกชายของ “วิสุทธิ์ ธรรมเพชร” นายก อบจ.พัทลุง ลงแทน
ทำให้ “นิพิฏฐ์” ถึงกับพูดขึ้นมาในที่ประชุมว่า พรรคประชาธิปัตย์ยุคนี้ ไม่ถาม ส.ส.เจ้าของเขตเก่า ตามธรรมเนียมปฏิบัติก่อนหรือ ว่ามีคนที่จะส่งแทนหรือไม่ ทำไมจึงรวบรัดตัดตอนเช่นนี้
จริงอยู่ที่ “นิพิฏฐ์” เคยประกาศไม่ลง ส.ส.เขตแล้ว แต่ก็มีคนที่อยู่ในใจแล้ว ว่าจะให้ใครลงแทน แต่นี่พรรคมารวบรัดไม่ถามความเห็นเจ้าของพื้นที่เดิมเลย จึงถือว่า “ไม่เห็นหัว” กัน แล้วอย่างนี้ก็เท่ากับว่าตัวเขา “ไม่มีที่ยืน” ในพรรคแล้ว จึงประกาศว่าจะลาออก เพราะเห็นว่าพรรคไม่ให้เกียรติ
เขายังโพสต์ว่าการที่ผู้บริหารพรรคยุคนี้ไม่ให้เกียรตินี่เอง จึงทำให้พรรคสูญเสียคนอย่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “กรณ์ จาติกวณิช” ไป
เรื่องที่ประชาธิปัตย์ “เลือดไหลออก” นี้ มีผู้สื่อข่าวไปถาม “จุรินทร์” หัวหน้าพรรคว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็ได้รับคำตอบเหมือนไม่ยี่หระว่า ต้องมองทั้ง 2 ด้าน จะมาดูเฉพาะทางพรรคอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูตัวบุคคลด้วยว่าแต่ละคนที่ออกไปนั้น เขามีเหตุผลอะไร ก็ต้องให้เขาเป็นผู้ตอบ พรรคคงไปตอบแทนไม่ได้...
“นิพิฏฐ์” ประกาศว่า เมื่อออกจากพรรคไปแล้ว จะไม่หวนกลับมา ...เหมือน “ม้าดี ไม่กลับมากินหญ้ารางเก่า” โดยจะไปสังกัดพรรคใหม่ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
มีกระแสข่าวว่าเป็นพรรคของกลุ่ม “สี่กุมาร” โดย “นิพิฏฐ์” จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคและเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ร่วมกับ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์-อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ซึ่งเตรียมเปิดตัวพรรคปลายเดือนมกราคม 65 และจะลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรับบทแม่ทัพภาคใต้ของพรรคด้วย
...การเลือกตั้งครั้งหน้า เหมือนเป็นการทำสงครามครั้งสุดท้าย จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ไม่มีอะไรแน่นอน นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมก็ต้องจงรักภักดีกับพรรคที่ไปสังกัดใหม่ ผมสู้ให้พรรคประชาธิปัตย์ยังไง ผมก็จะทำให้พรรคใหม่เป็นสองเท่า เพราะถือเป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่จะทำให้กับพรรคการเมืองนี้...
ก็ต้องจับตาว่าเส้นทางการเมืองของ “นิพิฏฐ์” ในสีเสื้อใหม่ ในสนามเลือกตั้งภาคใต้ ที่หลายพรรคจ้องจะปักธงนั้น จะยังคงทอดยาว รองรับอนาคตของเขาหรือไม่