ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จากผักเอ๋ยผักชี ถึง ก็แบกกระสอบเดินเองละกัน ลุงจะพูดเพื่อ? แต่ที่แน่ๆ ถูกมองเป็น “ตลกคาเฟ่” นะจ๊ะ?
ปัญหาข้าวยากหมากแพง ราคาน้ำมันพุ่งปรี๊ด ทำค่าครองชีพประชาชนสูงลิบ เดือดร้อนไปทั่วหย่อมหญ้า ซ้ำเติมวิกฤตโควิดที่ยังเผชิญอยู่หนักหนาสาหัสขึ้นไปอีก
แน่นอนว่า เมื่อเศรษฐกิจแย่ คนแก้ต้องเป็นลุง ไฟต์บังคับ เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ครั้น “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถูกถามวิธีแก้ จากตัวอย่างเรื่องของผักชีแพง ลุงก็บอกเดี๋ยวจะให้ทหารปลูกผักชี หรือมาถึงคราที่ราคาน้ำมันแพง กระทบขนส่ง ชาวสิงห์รถบรรทุกเดือดร้อนประท้วง วอนให้รัฐช่วยแก้ ช่วยดึงราคาน้ำมันลงมาหน่อย ก็มีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมรถทหารไว้สแตนด์บาย หากฉุกเฉินหรือสิงห์รถบรรทุกไม่วิ่ง ก็จะให้ทหารเอารถออกมาวิ่งขนส่งแทน
ทั้งสองเรื่องกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันขรมในวงสังคม พาลไปถึงตัว “ลุงตู่” ที่พูดไปอาจจะเจตนาดี แต่ก็มิวายจะถูกมองว่า พูดไปไม่คิด พูดเพื่ออะไร ?
โดนหนักๆ เข้า ลุงก็หัวร้อน อดรนทนไม่ไหวระหว่างไปเป็นประธานในการกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “จับมือ ร่วมใจ พาไทยรอด” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 “ลุงตู่” ก็ใช้โอกาสนี้ ระบายความอัดอั้น ว่า ที่สั่งทหารปลูกผักชีในค่ายทหาร ไม่ได้เป็นการแข่งขันกับใคร แต่ทหารปลูกอยู่แล้ว เพื่อไว้รับประทานเอง เพราะมีพื้นที่ แต่หากประชาชนเดือดร้อน ก็สามารถมาซื้อได้
ส่วนที่สั่งเตรียมรถทหารไว้สำหรับขนส่งสินค้า ก็ยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการจะทำขนส่งแข่งขันกับใคร แต่ถ้าไม่มีรถวิ่งจะทำอย่างไร แบกกระสอบเดินเองแล้วกัน
ว่าแล้วทั้งหมดที่พูดๆ กันไป นายกฯบอกอย่าเชื่อข้อมูลบิดเบือน อะไรกันหนัก มีอะไรก็ขอให้ตรวจสอบให้รอบคอบเสียก่อน
เรียกว่า ในความจริงครึ่ง ถูกใส่สีตีไข่เกินครึ่ง หรือมโนกันไปจนเลอะเทอะ ก็ว่ากันไป แต่นี่ก็ต้องโทษลุงด้วย “ที่พูดไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี” พอคำพูดตัวเองถูกบิดไปบิดมาก็ย่อมเบี้ยวเลี้ยวลดเป็นของธรรมดา ยิ่งเป็นผู้นำรัฐบาลยิ่งต้องระวัง มิเช่นนั้น ก็ห้ามสังคมให้คิดไม่ได้
อย่างน้อยก็ฝ่ายแค้น ฝ่ายค้าน นั่นไง “อรุณี กาสยานนท์” รองเลขาธิการเพื่อไทย ถึงกับฝากถึง “ลุงตู่” ว่า ความเคยชินกับพฤติกรรมนายทหารชั้นผู้ใหญ่อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่คิดว่า ประเทศเป็นเสมือนกรมทหาร แก้ปัญหาด้วยการชี้นิ้วสั่ง ทหารทำได้ทุกอย่าง หลายครั้งของแนวความคิดที่ พล.อ.ประยุทธ์ เสนอ เช่น ให้ทหารปลูกผักชี หรือใช้รถทหารส่งของ สะท้อนความจริงว่า เราเอาทหารมาบริหารประเทศไม่ได้ ซึ่งทหารไม่ได้มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ จึงอยากฝากถึงลุงตู่ เป็นนายกฯไม่ต้องสวมบท “ตลกคาเฟ่” ก็ได้
...นี่ยังดีที่ “เรือตังเก” ไม่ได้ประท้วงด้วย ไม่อย่างนั้นทหารเรือคงเดือดร้อน โดน “ลุงตู่” สั่งออกเรือไปจับปลาแทนชาวประมง
งานนี้ จะลุงตู่ จะฝ่ายแค้น ประชาชน และสังคม เดือดร้อนไม่ตลกนะจ๊ะ
**พรรคอะไหล่เป็นเหตุสังเกตได้ “ลุงป๊อก” สวมวิญญาณ “ลุงป้อม” ไม่รู้ๆๆ ..
กระแสการเมืองช่วงนี้จัดว่าผันผวนเหมือนอากาศ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น และบางวันกลับมีฝนตกอีกต่างหาก
เรียกว่า คาดเดาทิศทางลมกันลำบาก แต่กระนั้นบรรดาคอการเมืองที่ติดตามความเคลื่อนไหวของพี่น้อง “3 ป.” ที่ประกอบด้วย พี่ใหญ่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ... พี่รอง “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ น้องเล็ก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ติดตามไม่กะพริบตา
นั่นเพราะ เชื่อว่า ทิศทางลมของการเมืองจะไปทางไหนย่อมต้องขึ้นอยู่กับ อิทธิพลของ “ลมบูรพา” พี่น้อง 3 ป.
ก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์อันดูดดื่มระหว่าง “พี่ใหญ่” กับน้องๆ ทั้งสอง ดูจะระหองระแหง ประกอบกับการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ที่พี่ใหญ่คุม เคยเป็นนั่งร้านให้ “ลุงตู่” ได้ใช้เป็นฐานขึ้นสู่เก้าอี้นายกฯ ก็มีปัญหาเป็นไฟสุมขอน สั่นคลอนไม่มั่นคงเหมือนเก่า ดีไม่ดีเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ด้วยสภาพพร้อมแตกหัก อาจลงเอยด้วยการพึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้
ยิ่งมีเลขาฯ พรรคที่ชื่อ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” อยู่เป็นหอกข้างแคร่ของ “ลุงตู่” ใครจะรู้ว่า เลือกตั้งครั้งใหม่จะยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนเดิมหรือไม่
ว่ากันว่า ถ้า “ผู้กอง” ยังได้รับการโอบอุ้มจาก “ลุงป้อม” อยู่เช่นนี้ แม้ความสัมพันธ์ 3 ป.จะกลับมาดีดุจเดิม แต่หลักประกันการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะชู “ลุงตู่” เป็นนายกฯ สืบทอดต่ออีกสมัยนั่นใครจะรับประกันได้ ?
แม้ว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร การต่อรองขอตำแหน่งคืนของ “ผู้กอง” ยังไงก็ต้องเกิดหาก พปชร. ชนะเลือกตั้ง และในรอยจำ “แค้นนี้มีไว้ชำระ” จะปิดบัญชีกันยังไงก็เป็นเครื่องหมายคำถาม ที่ย่อมทำให้ “2 ป.” พี่รองและน้องเล็ก คิดคำนวณไว้
หนึ่งในวิถีที่ “2 ป.” คิดและคนก็เชื่อกัน นั่นคือ ที่มาของการ “แยก” แตกเป็นแม่น้ำอีกสาย นอกจากพรรคพลังประชารัฐ หรือการตั้งพรรคสำรองเป็นอะไหล่ เอาไว้เป็นทางเลือก ทางออก
การตั้งพรรคสำรอง โดย “ลุงตู่” จับมือกับ “ลุงป๊อก” มีข่าวมาพักใหญ่ๆ จริงจังขั้นสุด ถึงขนาดมีชื่อของ “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ที่เกษียณจากตำแหน่งปลัดมหาดไทย จะเป็นผู้ขับเคลื่อน แต่ด้วยสถานการณ์การเมืองที่พลิกไปผันมา ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะนิ่งๆ สำหรับพรรคใหม่
ขณะเดียวกัน ก็มีข่าว กลุ่ม 6 รัฐมนตรี ที่สวามิภักดิ์ “ลุงตู่” ก็พร้อมที่จะแยกตัวออกจาก พปชร. มาตั้งพรรคด้วย
ผสมผสานที่เห็นเคลื่อนไหวครึกครื้นตอนนี้ กลับเป็น พรรคที่ชื่อ “พลัง” บ้าง “ไทยสร้างสรรค์” บ้าง ที่เปิดตัวและเตรียมออกสตาร์ท ซึ่งแวดวงคอการเมืองก็เมาท์มอย ท่ามกลางเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันว่า พรรคนู้น พรรคนี้ บิ๊กนั่น บิ๊กนี่ เป็น “นอมินี” ของ 3 ป. บ้าง จะเป็นพรรคอะไหล่ให้ ลุงๆ บ้าง
เรียกว่า ถ้าเป็นหุ้นก็ปั่นราคากันชุลมุนชุลเก
ขณะที่ “ลุงตู่” และ “ลุงป๊อก” ยังตัวติดกัน ลุงตู่ มักถูกสื่อถามบ่อยครั้งเรื่องการเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเอง แต่ก็ไม่มีคำตอบ ขณะที่ “ลุงป็อก” ที่ได้ชื่อว่า “เสือเงียบ” นอกจากจะไม่เคยปริปากพูด เรื่องตีกรรเชียงหนีคำถามรู้กันว่า เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร
ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย “พล.อ.อนุพงษ์” เลี่ยงไม่ได้ถูกดักหน้าดักหลัง ถามถึงกระแสข่าว 6 รัฐมนตรี เตรียมตั้งพรรคการเมืองใหม่ กับ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี โดย “ลุงป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “เธอรู้จักทุกพรรค แต่ผมไม่รู้จักสักพรรคเลย” ก่อนที่จะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที
แหม.. ท่องคาถา “ไม่รู้ๆๆ” สวมวิญญาณพี่ใหญ่ ถอดแบบเดียวกันเป๊ะ