เป็นที่ฮือฮาไม่น้อยเมื่อนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์อย่างหมอนพิเชษฐ พืดขุนทด ปิ๊งไอเดีย จะนำกัญชา มาผนวกความอร่อยกับลูกชิ้นยืนกิน โดยจะเป็นส่วนผสมในน้ำจิ้ม ที่ถือว่าเป็นไอเดียแปลก แหวกแนว จนกลายเป็นข่าวดัง อันที่จริง นี่ไม่ใช่ แต่เพียงความแปลกใหม่ แต่มันยังหมายถึงการยอมรับกัญชาในวงการแพทย์ ว่าสามารถใช้กับอาหารได้อย่างปลอดภัย และถูกกฎหมาย เท่ากับ หากมองเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เราจะเห็นความคืบหน้าของนโยบายกัญชาเสรี โดยพรรคภูมิใจไทย ที่กำลังเปลี่ยนกัญชาจาก “ผู้ร้าย” ให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจ
นึกย้อนกลับไปประมาณ 4-5 ปีก่อน แทบไม่มีนายแพทย์คนไหนกล้าพูดเรื่องการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ แม้กระทั่งการรักษาโรค ก็ยังไม่ค่อยจะพูดถึงกัน เพราะในสายตาสังคมแล้ว กัญชา มีสถานะเป็นสิ่งเสพติด และอยู่คนละขั้วกับวงการสาธารณสุข แม้ผลวิจัยจากนานาชาติ จะเห็นตรงกันว่า กัญชา และกัญชง มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้ ทั้งยัง ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยหนักดีขึ้น แต่กับประเทศไทยแล้ว ความรู้เหล่านี้ ยังไม่ได้รับการยอมรับ ด้วยเพราะทัศนคติ ที่สังคมไทย มีต่อกัญชา จึงทำให้ ไทยพลาดโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากพืชชนิดนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
จะมีก็เพียงพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรค ที่มองเห็นว่า กัญชา มีคุณอนันต์ ที่ซุกซ่อนอยู่ และสามารถปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่คนไทย จึงกลายมาเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง และเมื่อครั้งพรรคภูมิใจไทย ได้เป็นรัฐบาล นโยบายกัญชา ก็ถึงคราวต้องเดินหน้า นายอนุทิน พูดอยู่เสมอว่า รู้มาตลอด ว่าการทำเรื่องกัญชาให้เกิดเป็นรูปธรรมนั้น ไม่เคยง่าย เพราะมีปัญหาเรื่องกฎหมายทั้งไทย และต่างประเทศ บวกกับทัศนคติ ที่คนมีต่อกัญชา การเดินหน้าจึงเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่เมื่อคิดว่าทำถูกต้องแล้ว ก็สมควรเดินต่อไป
นายอนุทิน เดินหน้านโยบาย ผ่านอำนาจหน้าที่ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ค่อยๆ เข้าไปแก้ไขกฎกรอบต่างๆ ตามอำนาจที่มีอยู๋ สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นความคืบหน้าที่สุดของนโยบายกัญชา คือ การปลดล็อกส่วนต่างๆ ของกัญชา และกัญชง เพื่อให้สามารถใช้ได้เป็นการทั่วไป ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 ความเป็นรูปธรรมเชิงนโยบายประจักษ์ชัด กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้ออกประกาศ เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เพื่อปลดล็อกส่วนของ “กัญชา”และ “กัญชง”ที่ได้จากการปลูกหรือผลิตในประเทศให้สามารถใช้ประโยชน์ได้โดยไม่จัดเป็นยาเสพติด ได้แก่ ใบที่ไม่ติดกับช่อดอก กิ่ง ก้าน ลำต้น เปลือก ราก เส้นใย สารสกัดที่มีCBDเป็นส่วนประกอบและกากที่เหลือจากการสกัดแต่ต้องมีTHCไม่เกิน 0.2% “เมล็ดกัญชง”และสารสกัดจากเมล็ดกัญชง ส่วนช่อดอกของกัญชงและกัญชา และเมล็ดกัญชายังถือเป็นยาเสพติด
“ประกาศนี้ทำให้ “กัญชา”และ “กัญชง”ที่ปลูกหรือผลิตในประเทศสามารถนำส่วนต่างๆที่ไม่ใช่ยาเสพติดไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย ผลิตภัณฑ์สุขภาพและอื่นๆ เช่น ทำยา อาหารและเครื่องสำอาง แต่ไม่ว่าจะนำไปทำผลิตภัณฑ์ใด จะต้องเป็นการใช้ส่วนต่างๆที่ได้จากการปลูกที่ได้รับอนุญาตการปลูกถูกกฎหมาย ซึ่งการปลูก “กัญชา-กัญชง”จะต้องยื่นขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ก่อน โดยจะพิจารณาอนุญาตปลูกตามเกณฑ์ข้อกำหนดของกฎหมาย โดนสามารถตรวจสอบผู้รับอนุญาตถูกกฎหมายได้ที่ www.fda.moph.go.th
นี่คือกฎหมาย ที่ปลดล็อกกัญชา และกัญชง ส่งผลให้ประชาชนเดินหน้านำพืช 2 ชนิดนี้ มาใช้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจแทบจะทันที ถือเป็นความต่อเนื่องเชิงนโยบาย ถัดจากการเปิดคลินิกกัญชาทั่วประเทศ กว่า 600 สาขา
วันนี้ประเทศไทย ผู้คนสามารถพบเห็น ก๋วยเตี๋ยว พิซซ่า บราวนี่ เครื่องดื้ม ครีมทาผิว ฯลฯ ซึ่งมีส่วนผสมจากกัญชาได้ทั่วไป นี่คือ รูปธรรมของนโยบายพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องการเปลี่ยนกัญชา และกัญชงให้เป็นพืชเศรษฐกิจ กระนั้น ก็ยังมีแรงเสียดทานเรื่องนโยบาย 6 ต้น ที่สังคมมองว่า ยังไม่เห็นผลสัมฤทธิ์ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ มิได้หายเข้ากลีบเมฆ เพราะ หมอนพิเชษฐ เปิดเผยว่า นโยบายข้างต้น มีความคืบหน้า เมื่อพบว่าในจังหวัด มีโครงการปลูกกัญชา 6 ต้น ถึง 36 แห่ง กระจายเกือบทั้งจังหวัด
นโยบายกัญชา คือ ตัวชี้วัดความสามารถของพรรคภูมิใจไทย ดังนั้น ชัดเจนว่า ทางพรรคต้องเข็นกันสุดความสามารถ เพื่อให้นโยบายไปให้ถึงฝั่งฝัน ซึ่งจะผันเป็นคะแนน สำหรับการเลือกตั้งในอนาคต