นายกฯ เข้าร่วมการหารือสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปก ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG สร้างการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายภูมิภาคคาร์บอนต่ำ
วันนี้ (12 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ (11 พ.ย.) เวลา 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก กับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปก (ABAC-Leaders’ Dialogue) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายโรเบิร์ต มิลลิเนอร์ ผู้แทน ABAC ออสเตรเลีย ในฐานะประธาน ABAC กล่าวถึงความสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในการพิจารณาเรื่องการเปิดพรมแดนใหม่อีกครั้ง การฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์ของโรคโควิด-19 การรับมือกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และการช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 พร้อมขอให้ APEC กำหนดเป้าหมายร่วมกันโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ด้านนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ กล่าวเปิดการประชุม ระบุว่า เอเปกมีความเข้าใจดีถึงความประสงค์ของประชาคมภาคธุรกิจที่ต้องการแนวทางที่มีการประสานการทำงานร่วมกัน เพื่อให้พวกเราก้าวไปสู่ภูมิภาคที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นิวซีแลนด์เองก็จำเป็นต้องพึ่งพาความร่วมมือจากเอเปก ไม่มีประเทศใดที่จะเอาชนะปัญหาได้เพียงฝ่ายเดียว ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันพิจารณาส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ พัฒนาแรงงานที่มีทักษะและมีคุณภาพ รวมทั้งช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบางในสังคม อาทิ ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และสตรีที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และยังไม่เข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟู
การหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก กับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปก (APEC Business Advisory Council : ABAC) ครั้งนี้ แบ่งผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกออกเป็น 5 กลุ่ม ไทยอยู่ในกลุ่มที่ 1 ร่วมกับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกจากออสเตรเลีย มาเลเซีย และจีนไทเป โดยในการหารือ นายโรเบิร์ต มิลลิเนอร์ ผู้แทน ABAC ชิลี มีประเด็นคำถามต่อนายกรัฐมนตรีว่า “โควิด-19 ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบที่รุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางในสังคม ได้แก่ สตรี ธุรกิจขนาดเล็กและกลุ่มชาติพันธุ์ ABAC เชื่อว่า ในการปกป้องรักษาอนาคต เราต้องแก้ไขและปลดล็อกศักยภาพของกลุ่มเปราะบางเหล่านี้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน เราเผชิญกับภยันตรายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มมากขึ้น และความจำเป็นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ขอทราบว่า เครื่องมือใดที่จะสามารถนำมาใช้เพื่อจัดการกับความท้าทายต่อการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยตระหนักดีว่า โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายมากมายในหลายมิติ การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวไปสู่อนาคตของเอเปก ปัจจุบันไทยได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว 83 ล้านโดส และคาดว่า จะครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน และได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าสำหรับปี 2565 ด้วย โดยที่ไทยในฐานะประเทศหนึ่งใน 12 ประเทศ ผู้ก่อตั้งเอเปก เชื่อว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นโอกาสที่ดีที่จะวิเคราะห์ว่าความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นมีความเปราะบางเพียงใด
ในปี 2563 กลุ่มเศรษฐกิจเอเปกทั้ง 21 เขต มีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) 53 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (US$ 53 Trillion) ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลกในปีเดียวกันอยู่ที่ 84.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเชื่อว่า การจะบรรลุการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น ยั่งยืน และครอบคลุมได้ต้องเปลี่ยนแนวความคิดเรื่องการพัฒนาใหม่ (paradigm shift) ไม่หยุดอยู่ที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม แต่ควรตั้งอยู่บนหลักการของก้าวไปสู่ความสมดุล (Thriving for balance) และการหาจุดยืนร่วมกันที่จะทำให้เกิดความกลมกลืนปรองดอง (Harmony) ของทุกภาคส่วนของสังคมและเศรษฐกิจ ระหว่างเขตเศรษฐกิจ ตลอดจนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งความสมดุล (balance) และความร่วมมือร่วมใจในฐานะหุ้นส่วน (collaborative partnership) ดังกล่าว คือ หัวใจขององค์รวมของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ เศรษฐกิจ BCG
ทั้งนี้ กลไกขับเคลื่อนการฟื้นตัวและการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ภาคเอกชน โดยที่ภาครัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุน (facilitation) กุญแจสำคัญ คือ ความร่วมมือและการลงทุนร่วมระหว่างเอกชนกับรัฐ (PPP) เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนครอบคลุม และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยเฉพาะในด้านการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรม มาพัฒนาต่อยอดจากฐานความเข้มแข็งทางด้านทรัพยากรชีวภาพ ในขณะที่ดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
สำหรับประเทศไทย จะต้องมีความร่วมมือกันอย่างจริงจังทั้งในด้านผู้ผลิตและผู้บริโภคเพื่อให้เอเปกเป็นภูมิภาคเศรษฐกิจที่ผลิตคาร์บอนต่ำ ตั้งแต่วิธีการผลิตจนถึงการอนุรักษ์ การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า การลดจำนวนขยะ และมลพิษ โดยการนำวิวัฒนาการและเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ มีการสร้างความพร้อมในการปรับตัว และการเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสม และเป็นธรรม
นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า เอเปกในฐานะเวทีที่ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือกับประชาคมภาคธุรกิจจะช่วยผลักดันความพยายามร่วมกัน ครอบคลุม และยั่งยืน ตามแนวคิดเศรษฐกิจ BCG และสามารถร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อให้เขตเศรษฐกิจของเราเป็นผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อความอยู่รอดของโลกที่
หลังจากนั้น นายฮิโรชิ นาคาโซะ ผู้แทน ABAC ญี่ปุ่น และประธานสถาบันวิจัยของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ไดวา มีประเด็นคำถามต่อนายกรัฐมนตรี ว่า “ในความเห็นของท่าน เอเปกควรมีบทบาทอย่างไรในการอำนวยความสะดวกเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและภาคธุรกิจสามารถสนับสนุนบทบาทดังกล่าวได้อย่างไรบ้าง”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายในกลไกการทำงานของเอเปก การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง แต่เอเปกยังคงต้องรักษาพลวัตการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าว เห็นได้จากเสียงเรียกร้องจากการประชุม COP26 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ย้ำถึงความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องแสดงความมุ่งมั่นที่จะเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะเพิ่มความพร้อมในการแก้ไขความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน อาทิ การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 หรือก่อนหน้านั้น นอกจากนี้ ไทยยังได้ตั้งเป้าที่จะให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด ภายในปี ค.ศ. 2030 ให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 15 ล้านคัน หรือ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2035 รวมถึงเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ 55 ของประเทศ
ในช่วงการเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทย ไทยจะพยายามเสนอรายการเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกันของเอเปกบนพื้นฐานของแนวคิดเศรษฐกิจ BCG ซึ่งภาคธุรกิจมีความสำคัญยิ่งในกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของเอเปก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน การดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การจัดการของเสีย การพัฒนานวัตกรรม รวมถึงด้านสิทธิมนุษยชนในการดูแล คุ้มครอง และเยียวยา