เมืองไทย 360 องศา
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าอุณหภูมิการเมืองไต่ระดับร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง ต้อนรับการเปิดสภาฯสมัยสามัญมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นมา จากกรณีที่พรรคการเมืองบางพรรคต่างต้องการ “เล่นเกมชิงมวลชน” โดยเข้าไปแตะ “ของร้อน” นั่นคือ การแสดงท่าทีต้องการแก้ไข หรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับเรื่องการหมิ่นประมาท จาบจ้วง ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยรวม
แน่นอนว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบจิตใจคนไทยส่วนใหญ่ แต่ปรากฏว่า พรรคการเมืองบางพรรค นั่นคือ พรรคเพื่อไทย และ พรรคก้าวไกล ต่างมีเจตนา “เล่นเกมเสี่ยง” โดยมีเป้าหมายเพียงแค่ต้องการ “แย่งชิงมวลชน” ดังกล่าว ซึ่งมวลชนที่นี้ ก็คือ “กลุ่มคนรุ่นใหม่” ที่หากพิจารณาตามตัวเลขตามจำนวนผู้ที่อายุถึงเกณฑ์มีสิทธิเลือกตั้ง ก็ถือว่ามีจำนวนไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ในบรรดาเสียงของ “คนรุ่นใหม่” ดังกล่าว ก็ต้องหมายเหตุในตอนท้ายเช่นเดียวกันว่า มีจำนวนมากน้อยแค่ไหนกันแน่ ที่ “ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์” เพราะหากบอกว่า บรรดา “ม็อบสามนิ้ว” ที่กำลังเคลื่อนไหวภายใต้ข้อมูล และความเชื่อจากข้อมูลของนักวิชาการ นักการเมืองที่มีปูมหลัง “ฝังใจเจ็บ” หรือแบบที่คลั่งไคล้ตามทฤษฎีปฏิวัติฝรั่งเศส ที่คนละบริบท คนละเงื่อนไขกับสังคมไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย กลายเป็นว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวของ “ม็อบสามนิ้ว” ในสารพัดชื่อ สารพัดรูปแบบ มันถึงจุดไม่ขึ้น มีแต่ฝ่อลงจนเหลือแค่หลักร้อย ขณะที่ “แกนนำ” ทั้งผองต่างก็ทยอยเข้าเรือนจำ ถูกเพิกถอนการประกันตัวตามกันไป
แม้ว่าตัวเลขจากคะแนนของ “คนรุ่นใหม่” ที่ว่านี้จะมีจำนวนแค่ไหนก็ตาม แต่ที่ผ่านมา พรรคการเมืองที่ “เคลมตัวเอง” ว่า พวกเขาคือ “ฝ่ายประชาธิปไตย” ต่างต้องการได้คะแนนเสียงจากกลุ่มคนดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดี ในทางการเมืองย่อมรับรู้กันดีอยู่แล้วว่า พรรคก้าวไกล ที่ต่อเนื่องมาจากพรรคอนาคตใหม่ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เคลื่อนไหวในทางที่เข้าใจว่ามีเจตนา “ล้มล้าง” สถาบันพระมหากษัตริย์ มีการเคลื่อนไหวในแนวทางเดียวกับพวกม็อบสามนิ้ว มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาในแบบที่เข้าใจได้
โดยเฉพาะ ส.ส.ของพรรคนี้ มีการใช้ตำแหน่งประกันตัวผู้ต้องหา จำเลยในคดีความผิดตามมาตรา 112 มาตลอด ซึ่งอีกด้านหนึ่งในความหมายที่ว่า “ยุเด็กให้ติดคุก” นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรก็ทำให้เข้าใจว่าเสียงของเยาวชน คนรุ่นใหม่พวกนี้ให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกล
อีกด้านหนึ่ง เมื่อหันมาพิจารณาอีกพรรคหนึ่ง ก็คือ พรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ก็เริ่มขยับอย่างชัดเจนมากขึ้น เพื่อต้องการ “แย่งมวลชน” กลับมา เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันว่า ทั้งสองพรรคดังกล่าวมี “ฐานเสียงที่ทับซ้อนกัน” และการเกิดมาของพรรคก้าวไกล ในชื่อพรรคอนาคตใหม่ก่อนหน้านี้ หลายคนมองว่า มาจาก “อุบัติเหตุจากแผนแตกแบงก์ย่อย” จากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ของนายทักษิณ แต่กลายเป็นว่า ด้วยบทบาทและการเคลื่อนในสภาฯ และทางการเมือง ที่ไม่มีความโดดเด่นไร้พลังของพรรคเพื่อไทยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มวลชน และ ส.ส.ไหลออกจำนวนมาก
และล่าสุด ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในพรรคเพื่อไทย นั่นคือ การที่ นายทักษิณ ชินวัตร ส่งลูกสาวคนเล็กคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” เข้ามาเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ซึ่งมีการคาดเดากันว่า เธอจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งต่อไปค่อนข้างแน่ ซึ่งนี่คือ ภาพของ “คนรุ่นใหม่” ที่ส่งเข้ามาเพื่อหวัง “ตีตลาด” ดึงมวลชนกลับมาจากพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะกับฐานเสียงในระดับเยาวชนนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ในความเคลื่อนไหวที่ต้องการเอาใจคนรุ่นใหม่ดังกล่าว กลับทำให้เกิดเรื่องที่มองว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” หรืออาจเข้าขั้น “ขาดทุนยับ” ก็ว่าได้ จากข้อเสนอของ นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยคนใหม่ และเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอีกด้วย ที่เสนอแก้ไข มาตรา 112 ในสมัยประชุมสภาฯนี้ โดยอ้างว่าเป็นกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เป็นสากล และละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
แต่พลันที่มีการเสนอเรื่องนี้ออกมาไม่นาน ก็เกิดปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรงทั้งจากประชาชนทั่วไป จากบรรดาพรรคการเมือง โดยเฉพาะเสียงค้านจากภายในพรรคเพื่อไทยด้วยกันเอง ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเลือกตั้งครั้งหน้า
จนกระทั่ง นายทักษิณ ชินวัตร นั่งไม่ติดต้องออกมา “เบรก” อย่างรวดเร็ว พร้อมกับยืนยันว่า มาตรา 112 ไม่มีปัญหา ไม่จำเป็นต้องแก้ไข แต่ปัญหามักเกิดจากคนมากกว่า พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออก ซึ่งจากการ “โชว์เหนือ” ทำตัวเป็น “ขาใหญ่” ให้เคลียร์ปัญหา ทำให้เขาถูกถล่มรอบทิศ
โดยเฉพาะบรรดาแกนนำและนักวิชาการ นักโทษหนีคดีพวก “ล้มเจ้า” ทั้งหลายต่างออกมา “เยาะเย้ย” ถากถาง นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย แบบไม่ให้ราคา จนทำให้ “ไปไม่เป็น” เหมือนกัน
กลายเป็นว่า การเคลื่อนไหวของ พรรคเพื่อไทย โดย นายชัยเกษม นิติสิริ ที่เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่ถือว่า “เป็นลูกน้องใกล้ชิด” ของนายทักษิณ ทำงานพลาด หรือกำหนดยุทธศาสตร์ผิดพลาด เพราะกลายเป็นว่า งานนี้มวลชนคนรุ่นใหม่ก็ “ยี้” มองว่า “สู้ไป กราบไป” ไม่จริงใจ ขณะที่มวลชนเดิมก็ไม่ไว้ใจ
ส่วนประชาชนทั่วไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะมองการเคลื่อนไหวให้แก้ไข มาตรา 112 ถือว่ารับไม่ได้ แม้จะมีความพยายามแสดงให้เห็นว่า นายทักษิณ และครอบครัว ไม่เกี่ยวข้อง เป็นความเห็นส่วนตัวของนายชัยเกษม และพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ขับเคลื่อนในสภาฯแล้วก็ตาม ทำให้เหมือนกับว่า “ละครสองหน้า” คราวนี้ถูกจับได้ จนต้องขาดทุนป่นปี้
ขณะที่หันมาทางพรรคก้าวไกล และกลุ่มก้าวหน้า ที่นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่แม้ว่านาทีนี้จะครองใจ “คนรุ่นใหม่” โดยเฉพาะพวกม็อบสามนิ้ว แต่คำถามก็คือ มันมีจำนวนมากแค่ไหนกันแน่ ขณะเดียวกัน เมื่อมีการประกาศจะมีการส่งแก้มาตรา 112 ในสภาฯ พร้อมกับมีการรณรงค์ล่าชื่อจากประชาชน มันก็กลายเป็นว่าพวกเขามีเจตนาอยู่ตรงข้ามอย่างชัดเจนกับคนส่วนใหญ่ที่ยังรักสถาบันพระมหากษัตริย์
ดังนั้น หากให้สรุปแบบรวบยอดในเวลานี้ก็ต้องบอกว่า ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ต่างก็ “ติดหล่ม” มาตรา 112 จนไม่อาจถอนตัวออกมาได้ เพราะการเคลื่อนไหวของพวกเขา ถือว่า “พลาด” ในแบบ “จงใจ” หวังเพียงแค่เสียงของคนรุ่นใหม่ที่เป็นม็อบสามนิ้วที่ต้องการ “ล้มเจ้า” ตามชุดข้อมูลที่ถูกป้อนเข้ามา ขณะเดียวกัน ก็ต้องแลกมากับ “ก้อนอิฐ” ที่ถูกขว้างกลับมารอบทิศ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่คิดว่าจะ “แลนด์สไลด์” ก็ต้องรอดูว่าจะ “สไลด์” แบบไหนกันแน่ !!