xs
xsm
sm
md
lg

“ทอน” ร้อนเป็นไฟ ซัด “ศาล-อัยการ” บิดเบี้ยวรับใช้อำนาจ “ดร.อานนท์” พยานคดี “กวิ้น” เห็นใจเป็นเครื่องมือ “กะปิบูด-ตี๋เนรคุณ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ธนาธร” ยกเหตุ “เบนจา” ไม่ได้ประกัน ซัด “ศาลฯ-อัยการ” ขอบตุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH บิดเบี้ยว
“ธนาธร” ยกเหตุ “เบนจา” ไม่ได้ประกัน ซัด “ศาลฯ-อัยการ” บิดเบี้ยวรับใช้กลุ่มอำนาจ พาดพิง “สนธิญาณ” ตัวอย่างเลือกข้าง “ดร.อานนท์” ได้รับหมายเรียกเป็นพยาน คดี “เพนกวิน” เจ้าตัวเห็นใจ ตกเป็นเครื่องมือการเมือง “ไอ้กะปิบูด-ไอ้ตี๋เนรคุณ”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(21 ต.ค.64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ธนาธร” ปลุกม็อบลุกฮือ เก็บอารมณ์ไม่อยู่ ซัด “ศาลฯ-อัยการ” บิดเบี้ยวรับใช้กลุ่มอำนาจ พาดพิง “สนธิญาณ”

โดยระบุว่า สืบเนื่องจากวันนี้ 21 ต.ค.64 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางมาพร้อมนายวีรนันท์ ฮวดศรี ทนายความของ น.ส.เบนจา อะปัญ โดยได้ยื่นขอเป็นนายประกันให้ “เบนจา” ผู้ต้องหาคดี ม.112 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้

หลังจากศาลฯไม่ให้ประกัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งมีเนื้อหาที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่ศาลฯ ว่ารับใช้กลุ่มอำนาจ โดยมีรายละเอียดว่า

[ เบนจาและนักต่อสู้ทุกคน ต้องได้รับการประกันตัว ]
วันนี้ ผมมาเป็นนายประกันให้กับเบนจา อะปัญ
เบนจาถูกปฏิเสธการประกันตัว ด้วยเหตุผลของศาลว่า “คดีมีอัตราโทษสูง”, “อาจจะก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหาย” และ “น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี”

เบนจาเป็นผู้ต้องหาคดี 112 จากการปราศรัยหน้าสถานทูตเยอรมัน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 และการร่วมคาร์ม็อบในวันที่ 10 สิงหาคม 2564

ผมมาเป็นนายประกันในวันนี้ เพราะผมไม่อยากให้สังคมลืมเรื่องของเบนจา หรือนักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยคนอื่นๆ ซึ่งแลกอิสรภาพของพวกเขากับการพูดความจริงในสังคมไทย

เราซึ่งอยู่ข้างนอก มีบทบาท ภาระหน้าที่ทางสังคมแตกต่างกันไป แต่ในวันที่ยากลำบากเช่นนี้ เราต้องยืนหยัดร่วมกัน ไม่ทอดทิ้งกัน

ผมอยากเรียกร้องมโนสำนึกจากทุกผู้คนที่ได้อ่านข้อความนี้ ว่าสิทธิในการประกันตัว เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนยุติธรรม

เบนจามาจากโคราช มีพื้นเพเป็นชนชั้นกลาง ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยหรือสมบูรณ์พร้อม มาเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนเข้าเรียนต่อที่หลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SIIT) เธอเป็นคนระดับหัวกะทิในทางวิชาการทั้งที่อายุยังน้อย มีความใฝ่ฝันอยากเป็นวิศวกรอวกาศ เธอชอบ Space Shuttle มีความฝันว่าจะเรียนต่อจนจบปริญญาเอก และทำงานกับหน่วยงานอวกาศภายใต้ NASA

คนอย่างเบนจา ไม่ใช่ภัยของสังคมอย่างแน่นอน กลับกัน เธอคืออนาคตของชาติ แบบอย่างของคนรุ่นใหม่ที่กล้าฝัน กล้าตั้งคำถาม

เธอและผู้ต้องหาทุกคน ต้องได้รับสิทธิประกันตัว

วันนี้ เป็นยุคมืดของกระบวนการยุติธรรม การทำงานของ ตำรวจ-อัยการ-ศาล-ราชทัณฑ์ บิดเบี้ยว รับใช้กลุ่มอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน ทำให้ยุคนี้มีผู้ถูกกล่าวหา และเดือดร้อนกับคดีการเมืองมากกว่ายุคสมัยใดในอดีต

เมื่อวานนี้ ศาลอุทรณ์กลับคำพิพากษาศาลขั้นต้น ให้คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม มีความผิดจากการปิดคูหา ขัดขวางการเลือกตั้ง อันเป็นการขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตย และริดรอนสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ศาลตัดสินให้ต้องจำคุก 8 เดือน แต่คุณสนธิญาณก็ยังได้รับการประกันตัวสู้คดีต่อในชั้นฎีกา

ส่วนผู้ต้องหาที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลกลับถูกปฏิเสธสิทธินี้

เรามีผู้ต้องหาคดี 112, 116, 215, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถึง 1,500 คน จาก 800 กว่าคดี
เฉพาะ 112 มีถึง 150 คน

และยังมีคนถูกข่มขู่ คุกคาม จากเจ้าหน้าที่รัฐนอกกระบวนการอีกเป็นจำนวนมาก

ถ้าเรานิ่งเฉย ความยุติธรรมจะตายจากสังคมไทย ความอยุติธรรมจะกลายเป็นมาตรฐาน

อย่าปล่อยให้ความอยุติธรรมเป็นเรื่องปกติ
ออกมาส่งเสียงร่วมกันว่า “ปล่อยเพื่อนเรา”

ภาพ เบนจา ขณะถูกจับกุม ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ทวิตเตอร์ TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความแจ้งถึงความคืบหน้าในคดีดังกล่าวว่า

ด่วน! ศาลอาญากรุงเทพใต้ #ไม่ให้ประกันตัว # เบนจาอะปัญ ทั้่ง2คดี หลังทนายและธนาธรยื่นประกันเช้านี้

คดีที่ 1 ปราศรัยหน้าตึกซิโน-ไทย เห็นว่าเหตุตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเดิม จึงให้ยกคำร้อง ลงชื่อมนัส ศักดิ์ภูวดล รองอธิบดีผู้พิพากษาฯ

คดีที่ 2 ปราศรัยหน้า #สถานทูตเยอรมัน ศาลเห็นว่า #เบนจาอะปัญ ทำผิดเงื่อนไขการประกันตัวที่จะไม่ทำให้เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และเงื่อนไขอื่นๆ ที่ศาลให้เบนจาปฏิบัติโดยเคร่งครัด เบนจาจึงถูกดำเนินคดีอื่นในศาลนี้อีก ในการกระทำในทำนองเดียวกัน

และหลังจากการกระทำในคดีหน้าสถานทูตฯ ยังปรากฏว่า เบนจาทำผิดเงื่อนไขในลักษณะเดียวกันซ้ำอีกเป็นคดีอื่นจนไม่ได้รับการประกันตัวในศาลนี้ จึงมีเหตุเชื่อว่า หากอนุญาตให้ปล่อยแล้ว เบนจาอาจจะไปก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นได้ จึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง

ทั้งนี้ช่วงเช้า การยื่นคำร้องให้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ปล่อยตัวชั่วคราว #เบนจาอะปัญ แบ่งเป็น

1.คดีปราศรัยหน้าตึกซิโน-ไทย มีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนายประกัน และนำเงินสดของตนเอง วางประกันอีก 200,000 บาท ส่วน 2.คดีหน้าสถานทูตเยอรมัน วางเงินประกัน 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์

ภาพ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ขณะเดียวกัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น ศาลฯเรียก “ดร.อานนท์” เป็นพยาน หอบหลักฐานแน่นๆ มัดตัวคดี “เพนกวิน”

เนื้อหาระบุว่า หลังจากเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 64 ศาลอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว นายพรหมศร วีระธรรมจารี, นายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน ชิวารักษ์, นายชาติชาย แกดำ, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ น.ส.ปนัดดา ศิริมาศกุล ผู้ต้องหาในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ร่วมกันจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดรวมตัวมากกว่า 5 คน, ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์

โดยต่อมา นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความประจำศูนย์สิทธิมนุษยชน ทนายความของแกนนำคณะราษฎร เปิดเผยว่า ศาลอุทธรณ์ได้อนุญาตให้ประกันตัว โดยมีเงื่อนไขคือ 1. ห้ามทำกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ให้ทำกิจกรรมภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ และก็ให้ติดกำไลอีเอ็ม และวางเงินประกันคนละ 1 แสนบาท ในส่วนของ เพนกวิน พวกเราจะต้องไปยื่นประกันตัวที่ศาลอาญาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากยังมีหมายขังระหว่างไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาของศาลอาญาอีก 1 คดี จึงยังไม่สามารถปล่อยตัวได้

ภาพ โพสต์ของ ดร.อานนท์ ขอบคุณภาพจากเพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH
ทั้งนี้นายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน มี 2 คดี ที่ถูกอายัดตัวที่สน.บางเขน คดี ม.112 แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ แต่มีหนังสือยกเลิกการอายัดตัว ซึ่งผู้ต้องหายังมีหมายขังระหว่างไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาของศาลอาญาอีก 1 คดี จึงยังไม่สามารถปล่อยตัวได้ และเรือนจำฯ ได้ทำหนังสือขออนุญาตกรมราชทัณฑ์เพื่อย้ายไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ล่าสุดเฟซบุ๊ก ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ โพสต์ข้อความพร้อมแนบภาพหมายศาล ที่เรียกตนเองเข้าไปนัดสืบพยานในคดีที่เพนกวินทำผิด โดยมีการเขียนข้อความไว้ว่า

“ท่านอัยการให้ข้าพเจ้าไปทำหน้าที่ ข้าพเจ้าก็ไปทำหน้าที่พยานผู้เชี่ยวชาญ ข้าพเจ้ามิได้มีความโกรธแค้นเคืองใดๆ เป็นการส่วนตัวกับจำเลย ในความเป็นจริงข้าพเจ้าเห็นใจจำเลยที่เป็นเยาวชนที่ยังอ่อนด้อยความรู้และวุฒิภาวะเป็นอย่างยิ่งจนตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม หยุดใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง หยุดเป็นกบฏใต้กระโปรงเถิด ไอ้กะปิบูด ไอ้ตี๋เนรคุณสองแผ่นดิน”

อย่างไรก็ตามได้มีคอมเม้นต์เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า เจอคนจริง ที่มีความรู้แน่น ๆ แบบนี้ เพนกวินคงรอดยาก ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะโดนกี่ปี ออกมาอีกทีอาจจะเป็นปู่เพนกวินเลยก็ได้ และยังมีคอมเม้นต์ทิ้งท้ายด้วยว่า ถ้าเด็กมันซ่า อย่าไปใจดีเลยครับ จัดหนักให้เลย ถ้าสอนแล้ว พยายามชี้แนะให้ตาสว่าง คงรอดยากแล้วจริง ๆ

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ นายธนาธร ก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกฟ้องในคดี ม.112 เมื่อไม่นานมานี้ จากการวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของรัฐบาล โดยมีการพาดพิงสถาบันฯด้วย

ดังนั้น อาจถือว่า ธนาธร กับ เบนจา และแกนนำอีกหลายคน ที่โดนคดี ม.112 ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เป็นคนหัวอกเดียวกันเรียบร้อย

และที่น่าสนใจไปกว่านั้น นายธนาธร น่าจะรู้ทั้งรู้หรือไม่? จากกรณีที่ศาลฯไม่ให้ประกัน เบนจา มาก่อนแล้ว ดังนั้น ไม่ว่านายประกัน เป็นใคร ในเมื่อศาลฯเห็นว่า ทำผิดเงื่อนไข และหากปล่อยไปก็ทำผิดซ้ำ ก็คงไม่ได้ประกันอยู่ดี

ประเด็นก็คือ ถ้ารู้อย่างนี้อยู่แล้ว เหตุใดนายธนาธร จึงลงทุนลงแรงเป็นนายประกันในคดีนี้อีก เพียงเพราะเหตุผลที่อ้างว่า “ผมมาเป็นนายประกันในวันนี้ เพราะผมไม่อยากให้สังคมลืมเรื่องของเบนจา หรือนักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยคนอื่นๆ ซึ่งแลกอิสรภาพของพวกเขากับการพูดความจริงในสังคมไทย” หรือมีเหตุผลอื่น?

โดยเฉพาะการใช้เหตุที่ศาลฯไม่ให้ประกัน เพื่อที่จะด่าประจานศาลฯ อย่างที่โพสต์ตอนหนึ่งว่า “...วันนี้ เป็นยุคมืดของกระบวนการยุติธรรม การทำงานของ ตำรวจ-อัยการ-ศาล-ราชทัณฑ์ บิดเบี้ยว รับใช้กลุ่มอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน ทำให้ยุคนี้มีผู้ถูกกล่าวหา และเดือดร้อนกับคดีการเมืองมากกว่ายุคสมัยใดในอดีต...”

นี่คือ การนำเอาเรื่อง “เบนจา” มาด้อยค่ากระบวนการยุติธรรมไทยหรือไม่ และถ้าใช่ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาเด็กเป็น “เหยื่อซ้อนเหยื่อ” หรือ เป็นเครื่องมือทางการเมือง ของตัวเอง ตั้งแต่เริ่ม จนโดนคดี ก็ยังใช้ปลุกกระแสโจมตีศาลฯอีก ลองคิดดูก็แล้วกันว่าคนพวกนี้เอาให้คุ้มแค่ไหน หรือไม่จริง?


กำลังโหลดความคิดเห็น