ข่าวปนคน คนปนข่าว
**อย่าดูเบา พลัง พส. #Saveพระมหาสมปอง หลั่งน้ำตา..เขย่ารัฐบาลลุงได้นะจ๊ะ
#Saveพระมหาสมปอง กลายเป็นแฮชแท็กร้อนแรงประจำวันขึ้นมาในโลกโซเชียลฯ หลังจาก พส.ชื่อดัง “พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต” แห่งวัดสร้อยทอง เปิดเผยความในใจผ่านไลฟ์สด ร่วมพูดคุยกับ พระมหาไพรวัลย์ โดยมีความบางช่วงบางตอนว่า มีคำเตือนมา จนตอนนี้ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้นเลย ทำไมคนต้องจ้องสึกเราด้วยนะ ใช้งานเราเถอะ ไม่ต้องสึกเราหรอก ถึงเวลาเราก็ไปเองแหละ ไม่ต้องมาไล่ ทำไมคนที่ต้องดูแลเรา ตอนนี้มาคอยจ้องจะจับสึกเรา
“พระมหาสมปอง” ยังบอกอีกว่า แม่ของ พส.เป็นผู้ป่วยติดเตียง และคุณแม่ชอบดูทีวี ติดทีวีมาก แต่ช่วงหลังๆ จะมีข่าวช่องหนึ่งชอบเล่นข่าวว่า “พส.สมปอง” จะโดนจับสึก พอแม่ของ พส. เห็น แม่ของ พส.ก็ไม่สบายใจและเป็นกังวล พี่สาวก็โทร.มาถามบ่อยๆ ว่า พส.สมปอง จะถูกจับสึกเหรอ พส.สมปอง ก็ต้องมาคอยอธิบาย หลักๆ คือ เป็นห่วงจิตใจคุณแม่
“พวกคุณให้ผมเรียน ผมก็เรียน บาลีจะเรียนไปทำไมยังไม่รู้ แต่ก็เรียน ให้ไปทำอะไรก็ทำตลอด ไม่ให้พูดบางเรื่อง ผมก็ไม่พูด ให้ผมหยุดผมก็หยุด ผมทำขนาดนี้แล้วคุณก็ยังจ้องจับสึกผม จะต้องการทำร้ายผมไปทำไม”
พส.ชื่อดังเล่าด้วยความอัดอั้นตันใจ และบางช่วงที่เล่าก็คล้ายจะมีน้ำตาคลอเหมือนร้องไห้ จึงทำให้มีข้อสงสัยกันว่า “พระมหาสมปอง” กล่าวถึงใคร ใครคือผู้ที่จ้องจับสึก!!
ญาติโยมที่ติดตามเป็นแฟนคลับหลายคนต่างก็เห็นว่า ที่ผ่านมา เจตนาของ “พระมหาสมปอง” ก็ไม่ได้มีเจตนาอื่น นอกจากช่วยเหลือคน ดังนั้น แทนที่จะมาจ้องจับผิด ควรหันกลับมาดูแลท่านหรือเปล่า ทำไมถึงกลับกลายเป็นว่ามาจ้องเล่นงานกัน แล้วแบบนี้ พส.จะเอากำลังใจมาจากไหนในการช่วยเหลือเหลือคนอื่น
ต่อมา “พระมหาสมปอง” ก็ได้ยืนยันว่า ไม่ได้พาดพิงมหาเถรสมาคม หรือ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ แต่มีบางองค์กรจ้องจับผิด หาช่องทางจับสึกจริง แต่ตนเองก็เป็นแค่พระเล็กๆ รูปหนึ่ง ไม่ได้ขัดขาใคร และไม่เคยมีหน่วยงานไหนมาปกป้องเลย
พร้อมกันนี้ มีคำถามว่า หากไม่ได้เป็นพระอีก “พระมหาสมปอง” บอกว่า ก็พร้อมกลับไปทำไร่ไถนา ตามอาชีพพ่อแม่ ก่อนนี้อยากมีอาชีพเป็นบ๋อย เพราะรักงานบริการ เหมือนธรรมดีลิเวอรี่ ที่จัดส่งธรรมะให้ทุกคน และสุดท้าย มีอะไรให้เตือนกัน เป็นทุกอย่างให้แล้ว ไม่ต้องมาจับสึกหรอก หากไม่มีประโยชน์ต่อพุทธศาสนาแล้ว ถึงเวลาแล้วก็จะไป ไม่ต้องหมั่นไส้นาน
นี่เป็นที่มาของการเกิดกระแสชาวโซเชียลฯ หลั่งไหลให้กำลัง พส. ด้วยการ #Saveพระมหาสมปอง กันกระหึ่ม
ขณะที่ บางองค์กรที่จ้องจับสึกพระขวัญใจชาวเน็ต แม้ พส. จะไม่เอ่ยชื่อตรงๆ ในโลกโซเชียลฯต่างชี้เป้าไปที่ สำนักพุทธศาสนา ฟังว่าถูกวิจารณ์เละเทะ ไม่ต้องสงสัยว่าจากนี้จะมีทัวร์มาลงเป็นระยะๆ แน่นอน
งานนี้ อย่าดูเบาพลัง พส.ขิงมา ขิงกลับ ถ้าไม่เคลียร์ ปล่อยลุกลามบานปลาย นอกจากสำนักพุทธศาสนา จะไม่ Save เผลอๆ ลามไปถึง สำนักนายกรัฐมนตรี ไปถึงรัฐบาลลุงได้นะจ๊ะ.
**พระประเมินค่ามิได้! เป็นเหตุ “บิ๊กปั๊ด” งานเข้า “นักร้อง” ยื่น ป.ป.ช.สอบบัญชีทรัพย์สิน
นี่ก็เป็นเรื่องราวของพระอีกเรื่อง แต่เป็นกรณี “พระเครื่อง” กับการแจ้งบัญชีทรัพย์สินที่ระบุว่า “ประเมินค่าไม่ได้”
เรื่องนี้เป็นเพราะว่า “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่วงการยกให้เป็น “นักร้อง” เบอร์ต้นๆ ที่ขยันยื่นเรื่องราวต่างๆ เข้าระบบการพิจารณาตรวจสอบของราชการ อดีตนั้นเคยยื่นร้องเรียนมาแล้วนับไม่ถ้วน สร้างชื่อจากการร้องสรรพากรยุครัฐบาลทักษิณ และ ร้อง “สมัคร สุนทรเวช” กรณี “ชิมไปบ่นไป” จนตกเก้าอี้ มาคราวนี้ไปเจอว่า กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ไว้ในเว็บไซต์ ป.ป.ช. ไปแล้วหลายสิบรายนั้น และมีบางรายที่สื่อมวลชนสนใจ และได้นำมาลงเป็นข่าว เมื่อติดตามรายละเอียดข้อมูลบัญชีที่ปรากฏในเว็บไซต์ปรากฏว่า ยังมีข้อมูลบางรายการที่อาจคลาดเคลื่อน ไม่สอดคล้องสัมพันธ์กัน
โดยเฉพาะ กรณีของ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ณ วันที่ 30 เม.ย. 64
นักร้องชื่อดัง พบว่า รายการทรัพย์สินอื่น ลำดับที่ 14 พระเครื่อง 5 องค์ ได้มาปี 60 มูลค่าปัจจุบันระบุว่า “ประมาณมูลค่ามิได้” และลำดับที่ 25 พระเครื่อง 7 องค์ ได้มาปี 62-64 มูลค่าปัจจุบัน ระบุว่า “ประมาณมูลค่ามิได้” นั้น มีข้อสงสัยว่า พระเครื่องทั้ง 12 องค์ ได้มาอย่างไร โดยวิธีใด ทำไมถึงประเมินมูลค่ามิได้ ทั้งที่เพิ่งจะได้มาไม่นาน
งานนี้ เห็นว่า ไม่เฉพาะแค่ ผบ.ตร. แต่ “เรืองไกร” ยังตั้งข้อสงสัย “จตุพร บุรุษพัฒน์” ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ณ วันที่ 31 ก.ค. 64 ซึ่งพบว่า รายการรายได้ มีการแจ้งรายได้ที่เป็นเงินได้พึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (1) – (8) รวม 2,866,815.40 บาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายการเงินเดือน 2,009,963.40 บาท
และรายการเบี้ยประชุม 984,500.00 บาท มีผลต่างอยู่ 127,648.00 บาท และมีการแจ้งรายได้ ที่เป็นดอกเบี้ย 1,789,841.91 บาท แต่มีรายการทรัพย์สินที่เป็นเงินฝากรวม 18,210,511.39 บาท คำนวณอัตราดอกเบี้ยต่อเงินฝากเฉลี่ยจะได้ประมาณ 9.82% กรณีจึงมีข้อสงสัยว่า ผลต่างของรายได้ และรายการดอกเบี้ยดังกล่าว มีความสอดคล้องสัมพันธ์กันหรือไม่
พร้อมกับ “น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช” กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 ซึ่งพบว่าหน้าแรก ซึ่งมี “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ประธาน ป.ป.ช. เป็นผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อกำกับนั้น มีข้อมูลที่อาจคลาดเคลื่อนคือ มีการระบุว่า วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง หรือคำสั่งแต่งตั้ง 25 พ.ค. 46
กรณีจึงมีข้อสงสัยว่า การลง พ.ศ. 2546 อาจผิดหลงไป ควรมีการแก้ไขให้ถูกเป็น 2564 และให้ผู้เกี่ยวข้องลงนามกำกับไว้ ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้นย่อมแสดงให้เห็นความไม่รอบคอบในการตรวจสอบของ ป.ป.ช.ได้ เพราะในหน้าแรกดังกล่าว ซึ่งควรเป็นความรับผิดชอบโดยการตรวจสอบของ ป.ป.ช.ที่มีทั้งเจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สินเชี่ยวชาญ ลงลายมือชื่อกับ ประธานป.ป.ช. ด้วย
ว่าแล้ว “เรืองไกร” ไม่สงสัยเปล่าๆ จากข้อสงสัยที่พบนี้ เขาจะส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบรายการบัญชีทรัพย์สินของทั้งสามคน
พะยี่ห้อ “เรืองไกร” นักร้องเบอร์ดังเคลื่อนไหวทั้งที ย่อมเป็นที่น่าสนใจติดตามของสังคม โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผบ.ตร. งานเข้าแน่ๆ ต้องหาคำอธิบายดีๆ ว่า เป็นเพราะเหตุผลกลใด พระเครื่อง 12 องค์ ที่มีจึงประเมินค่ามิได้
งานนี้จะต้องถึงกับทำให้ ผบ.ตร. สวดมนต์ภาวนาขอคุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยหรือไม่ ก็โปรดติดตามกันต่อไป.