วันนี้ (7 ต.ค.) นายธวเดช ภาจิตรภิรมย์ หัวหน้าพรรคแนวทางใหม่ กล่าวว่าแม้ขณะนี้สถานการณ์โควิด 19 เหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ทำให้หลายคนเริ่มเบาใจว่า รัฐบาลสามารถคุมการระบาดได้และใกล้เคียงกลับสู่ภาวะปกติแล้ว แต่สถานการณ์นี้ไม่ใช่สำหรับภาคใต้อย่างแน่นอน
"ผมอยากขอให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์เพื่อหาทางรับมือโดยเร็วที่สุดในทุกมิติ ไม่ว่ามิติเศรษฐกิจหรือมิติสาธารณสุขก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับกรุงเทพฯที่เคยมีผู้ป่วยมากจนล้นระบบ ภาพการรอตรวจ รอเตียง รอตาย หรือรอเผา จะต้องไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำที่ภาคใต้ของเรา"นายธวเดช กล่าว
นายธวเดช กล่าวต่อว่า หากดูจากข้อมูลการวันที่ 5 ต.ค.64 จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับมาใกล้เคียงหลักหมื่นอีกครั้ง ทั้งประเทศพบผู้ป่วยมากกว่า 9,000 ราย จำนวนกว่า 3,000 ราย หรือ 1 ใน 3 เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ในภาคใต้ สำหรับภาคใต้ตอนบน พบมากที่สุดจำนวน 468 ราย ในจังหวัดสงขลา รองลงมาคือ 457 รายในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยทางจังหวัดได้ออกมาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว ส่วนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ปัตตานีพบการติดเชื้อรายใหม่มากถึง 530 ราย นราธิวาสอยู่ที่ 461 ราย และยะลา 431 ราย
"ผมคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ คงไม่สามารถปล่อยให้ภาคใต้เผชิญหน้ากับวิกฤตโรคระบาดและให้จังหวัดจัดการกันไปโดยไม่สนับสนุนทรัพยากรช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนได้เข้าใจดีว่า พอสถานการณ์โควิดกรุงเทพฯ คลี่คลายลงและกำลังกังวลว่าจะเจอน้ำท่วม ทุกคนก็เทไปช่วยทางนั้นกันหมด บางคนทุ่มเทขนาดเอาตัวไปแช่น้ำเพื่อให้มีภาพออกสื่อทุกฉบับก็เห็น นายกฯเอย รัฐมนตรีเอยออกบินไปตรวจการณ์กันไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น แต่ท่านจะต้องมองเห็นปัญหาของคนภาคใต้ด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนนี้สถานการณ์ภาคใต้กำลังวิกฤตหนัก ถ้าไม่รีบช่วยตั้งแต่ตอนนี้ ทั้งชีวิตคนและเศรษฐกิจภาคใต้คงฟุบไปอีกยาวและยากจะฟื้นฟูกลับมาได้ง่ายแน่"
นายธวเดช ยังกล่าวต่อว่า สิ่งที่อยากให้รีบเตรียมให้พร้อม คือการประเมินศักยภาพการรองรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลแต่ละจังหวัด การตั้งโรงพยาบาลสนามในลักษณะโรงพยาบาลบุษราคัมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อคัดแยกผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการออกมาดูแลให้ได้มากที่สุด การระดมตรวจด้วย ATK แบบที่หมอชนบทเคยยกทีมไปช่วยกรุงเทพ ซึ่งล่าสุดได้ข่าวว่าของที่จัดซื้อมาไม่แม่นยำพอก็ขอให้หาเครื่องมือดีๆมาให้หมอใช้ และครั้งนี้อาจถึงเวลาที่หมอจากพื้นที่อื่นๆจะต้องยกพลลงมาช่วยภาคใต้บ้าง โดยรัฐบาลจะต้องเตรียมการสนับสนุนให้พร้อมเพื่อทำระบบ Home Isolatioin เพื่อส่งอาหารและยาให้ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือวัคซีนคุณภาพจะต้องลงมาฉีดคนในพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อตัดวงจรการระบาดและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้มากที่สุดหากมีการติดเชื้อ
"ภาคใต้จะต้องไม่ใช่ภูมิภาคที่ถูกลืม สิ่งไหนที่เคยเป็นรูโหว่ของวิกฤตกรุงเทพที่ผ่านมาจะต้องถอดบทเรียนเพื่อไม่ให้วิกฤตเหล่านี้เกิดซ้ำที่ภาคใต้ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะต้องตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาไม่แพ้ปัญหาของกรุงเทพฯ จุดแข็งของต่างจังหวัดคือระบบสาธารณสุขปฐมภูมิที่ค่อนข้างพร้อม มี อสม.คอยช่วยเหลือที่ชัดเจนและมีความแออัดที่น้อยกว่า แต่ถ้าปล่อยให้มีการระบาดคราวละมากๆก็อาจเจอสถานการณ์ล้นระบบได้เช่นกัน งบประมาณ บุคลากร และทรัพยากรทางการแพทย์ต่างๆจะต้องเตรียมเอาไว้ นอกจากนี้ หากจำเป็นต้องล็อกดาวน์อย่างแน่นหนาก็ต้องคิดถึงการเยียวยาที่มาพร้อมกันโดยทันที ไม่ใช่ออกแต่มาตรการเข้มงวดแต่ไม่ช่วยเหลือ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นต่อให้มีอำนาจมากก็ไม่อาจคุมสถานการณ์ที่แลกกับปัญหาปากท้องและความหิวของประชาชนได้อย่างแน่นอน"
นายธวเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า ในวันนี้สถานการณ์เพิ่งเริ่มต้น แต่เราไม่อาจปล่อยให้การติดเชื้อเป็นไปในลักษณะทวีคูณไปเรื่อยๆได้ ผมแนะนำว่าจะต้องรีบจัดการตั้งแต่ตอนนี้ เพราะคนภาคใต้ก็ปรารถนาที่จะกลับสู่ภาวะปกติได้พร้อมกับคนภาคอื่นเช่นกัน