“ประยุทธ์” ลั่น ปชช.ต้องปรับตัว คิดใหม่สู้ภัยธรรมชาติ วอนเชื่อมั่นหลักคิดนายกฯ ลั่นถ้า ครม.ทำงานไม่สำเร็จถือเป็นจำเลยร่วม ด้านชาวบ้านฝากหิ้วทุเรียนให้ “ลุงป้อม” อารมณ์ดีคุยกับวัว “สมศักดิ์” ร่ายโครงการโคบาลประชารัฐ ผัดกะเพราโชว์
วันนี้ (26 ก.ย.) เวลา 12.00 น. นายกฯและคณะ เดินทางไปยังวัดบ้านซ่าน ต.บ้าช่าน อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย สักการะหลวงพ่อสามพี่น้อง และหลวงพ่อขาว โดย พระภารุพงษ์ ภานุวิโส รองเจ้าอาวาสวัดบ้านซ่าน ได้มอบพระสามพี่น้องจำลองให้กับนายกฯ พร้อมสนทนาธรรม โดยเจ้าอาวาสได้สอบถามนายกฯ ว่า จากการลงพื้นที่ปริมาณน้ำเยอะไหม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น้ำเยอะได้รับผลกระทบจากพายุ ทำให้มีน้ำฝนตกลงมาปริมาณมาก ส่งผลให้ท่วมในหลายพื้นที่ รัฐบาลจะเร่งดำเนินการสำรวจและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาวจะต้องวางแผนแก้ไขปัญหาในภาพรวมต่อไป
ต่อมา นายกฯ ได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยจากหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยนายกฯ กล่าวว่า วันนี้ขอกระแอ๋มหน่อยแล้วกัน วันนี้มาที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้วเดินทางจากกรุงเทพฯมาแต่เช้า ต้องขอโทษส่วนราชการต่างๆ ด้วย เพราะเป็นวันอาทิตย์ แต่เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนมีความเดือดร้อนเราก็หยุดไม่ได้ เพราะประชาชนเดือดร้อนทุกวัน ไม่มีวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ วันนี้ นายกฯนำพาหัวใจคนกรุงเทพฯ หัวใจคนต่างจังหวัด มาช่วยพวกเราด้วยความห่วงใย เราเป็นพี่น้องกัน เราเป็นคนไทยด้วยกัน ฉะนั้น เราจะต้องห่วงใยกันคงไม่ใช่เราที่เดือดร้อน คนอื่นก็เดือดร้อนข้างบ้านก็เดือดร้อนจังหวัดอื่นก็เดือดร้อนจากพายุที่เข้ามาในวันนี้ซึ่งจากการบรรยายสรุปของทุกภาคส่วนที่บรรยายไปเมื่อสักครู่ทุกคนทราบอยู่แล้วเรื่องระบบน้ำแต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเข้าไปในรายละเอียดดูเฉพาะน้ำในพื้นที่คูคลองใกล้บ้าน แต่ครั้งนี้เป็นการบริหารจัดการของรัฐบาล ซึ่งจำเป็นต้องนำทั้ง 20 กว่าลุ่มน้ำมาพิจารณาทั้งหมดในการบริหารจัดการโดยกลไกที่นายกฯตั้งขึ้นมาใหม่ คือ สทนช. เพื่อนำภาพรวมน้ำทั้งประเทศมาดูว่าจะบริหารจัดการอย่างไร เพื่อจะได้เห็นภาพว่าน้ำมาจากไหนทั้งน้ำฝนทั้งน้ำท่า และน้ำที่มาจากพายุเป็นระยะ ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในระดับไม่สูงมากจากถนน แต่ตนตนเห็นว่ามีในท้องทุ่งและท้องนาท่วมลึก ย่อมเกิดความเสียหายกับการเพาะปลูกพืชทางการเกษตร ซึ่งตนได้สั่งการปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ไปช่วยเหลือเยียวยาให้ครบถ้วน
นายกฯ กล่าวว่า รวมถึงถนนที่เสียหายจะต้องมาดูแลแก้ไขกัน และอาชีพทางการเกษตรเป็นอาชีพหลักของคนไทยอยู่แล้ว แต่หากมองไปวันข้างหน้าในส่วนของน้ำท่วมและภัยพิบัติจะต้องเป็นอีกเรื่องที่จะต้องป้องกัน แต่อีกเรื่องที่จะต้องมองให้ไปด้วยกันคือ จะเดินหน้าประเทศไทยไปอย่างไรและจะเผยโฉมคนไทยได้อย่างไร ให้เข้าถึงรายได้ที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายและดูแลลูกหลานให้เรียนหนังสือ ฉะนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งคิดตรงนี้ออกมาและช่วงที่ผ่านมาหลายปี เราก็พยายามแก้ไขปัญหาที่ติดขัดอยู่มากพอสมควร มันเดินได้มาขนาดนี้ก็ต้องเดินต่อไปในวันข้างหน้า นี่คือ อนาคตที่พวกเราจำเป็นต้องมีส่วนร่วมกับรัฐบาลและนายกฯในการที่จะเดินหน้าประเทศไปสู่อนาคต โดยทุกคนจะต้องช่วยกัน เช่น รัฐบาลทำถนน ทำเส้นทางให้ท่านเดิน ท่านก็ต้องเดินในถนนที่รัฐบาลทำไว้ให้หาประโยชน์จากถนนเหล่านั้น วันนี้โลกกำลังเดินด้วยดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีการทำนา การทำไร่แบบสมัยเดิม อาจจะไม่คุ้มทุนในวันข้างหน้า เราอาจจะถูกมาตรการกีดกันทางการค้า มาตรการของการกำหนดมาตรฐานที่มาของพื้นที่เพาะปลูกจะต้องถูกต้องตามกฏหมายและมีใบอนุญาต ปลูกในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง ปลูกในพื้นที่ป่า เขาตรวจสอบได้หมดจากสินค้าที่ส่งออกไปนั้นคือสิ่งที่เป็นอันตรายในอนาคตที่อยากแจ้งเตือน
“ผมพยายามจะทำในสิ่งที่ถูกต้องและทำในสิ่งที่เป็นอนาคตและเป็นไปได้มันอาจจะยากสำหรับท่านแต่ถ้าเราทำและฟังแล้วค่อยๆปรับเปลี่ยน ก็จะคุ้นชินไปเรื่อยๆ วันหน้ามันจะไม่ยาก การทำในสิ่งที่ถูกต้อง มันไม่ยาก ถ้าเราเข้าใจถึงปัญหาเหล่านั้น เขาไม่ได้ออกกฏหมายมาเพื่อรังแกเรา กฎหมายมีไว้สำหรับป้องกันคนที่ทำไม่ถูกต้อง” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า เรื่องน้ำเป็นปัญหา เรื่องรายได้เป็นปัญหา เรื่องคุณภาพชีวิตเป็นปัญหา เรื่องการเข้าไม่ถึงภาครัฐก็เป็นปัญหาสิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องปรับหลักคิดของพวกเราใหม่ไม่ว่าจะเรียนจบอะไรมา เราต้องรวมสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ได้คือครอบครัว สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รวมเราเป็นชาติ รวมเราเป็นประเทศถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไปดูรบกันอย่างไรอยู่ข้างนอกในภูมิภาคโน้น ภูมิภาคนี้รบกันจะเป็นจะตาย เราอยู่กันสงบเรียบร้อย มีปัญหาเรื่องความยากจนก็แก้ปัญหาน้ำท่วมก็แก้ไป มันไม่ได้ท่วมตลอดไป เดี๋ยวมันก็ลง แต่จะต้องลงให้เร็วที่สุดค่าเสียหายจะต้องจ่ายให้เร็วที่สุดและจะทำอย่างไรให้เสียหายน้อยลง ด้วยการปลูกพืชที่ไม่ใช่พืชเชิงเดียว เพราะน้ำท่วมหมดก็ตายหมด เป็นสิ่งที่อยากฝากให้คิดและตนไม่ได้กำหนดว่าจะต้องปลูกอะไรเพียงแต่เล่าให้ฟัง ทั้งนี้ เรื่องน้ำท่วมยังไงก็แก้ปัญหาได้ยากไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเราเป็นที่สูงลงมาต่ำ เหนือไปใต้ น้ำไหลจากข้างบนลงมาข้างล่าง ไม่มีน้ำไหลจากภาคใต้ขึ้นไปภาคเหนือ ไหลไม่ได้ สองฝั่งก็เป็นภูเขาทั้งทางตะวันตกและทางตะวันออก น้ำจึงไหลลงมาตรงกลางและมารวมในลำน้ำต่างๆ ตรงไหนพื้นที่ต่ำมันก็ท่วม แต่เราจะบริหารเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ตนจะสรุปง่ายๆ คือ การบริหารเป็นพื้นที่ทำอย่างไรจะเอาน้ำมาเก็บตรงนี้ และตรงนี้จะมีน้ำใช้ และภาพใหญ่ทำอย่างไรจะตัดตอนน้ำจากเหนือให้ออกทางข้างให้ได้แล้วไปหาที่เก็บ ก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำระหว่างประเทศหรือออกสู่ทะเล และบางพื้นที่ในวันหน้าอาจมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยใช้ในการเก็บน้ำเป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่น ทุ่งบางระกำ เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ คิดใหม่ ก็ต้องช่วยกันคิด ตนบังคับท่านไม่ได้ แต่ถ้าอยากให้ดีขึ้นกว่านี้ไม่อยากให้ลำบาก ลองคิดอย่างตน อย่างมีวิสัยทัศน์และกระบวนการ ถ้าท่านรู้สึกว่ารัฐบาลนี้ยากหน่อย นายกฯ ยากขอไม่ค่อยได้ทันก็เห็นอยู่แล้วอะไรที่ได้มาง่ายๆมันไม่สำเร็จ แล้วมันก็มีปัญหาทางกฎหมาย ทำให้มันดีเข้าใจตรงกัน นายกฯไม่เคยขัดข้อง อะไรอยู่กับใครขั้นตอนตรงไหน นายกฯไม่สามารถที่จะให้เงินได้เป็นเรื่องการทำงานตามขั้นตอน ฉะนั้นทุกคนเมื่ออยากได้จะต้องไปทำความเข้าใจระหว่างกัน กฎหมายกำหนดไว้ตรงไหน ไม่ได้ไปชี้ที่ตรงนี้ ที่สาธารณแล้วจะได้ กฎหมายเขียนไว้ทุกตัว ถ้าประชาชนในพื้นที่ยอมรับว่าจะทำอ่างเก็บน้ำ จะทำทางระบายน้ำมันพอได้หมด แต่ต้องที่มันควรจะเป็น
“รู้แต่น้ำท่วม นึกอะไรไม่ออกน้ำท่วมอีกแล้ว ปีหน้านึกอะไรไม่ออกฝนแล้งอีกแล้ว โทษใครไม่ได้โทษนายกฯประยุทธ์ ผมไม่ว่าโทษผม ไม่เป็นอะไร ผมรับได้ แต่ผมก็ต้องทำให้มากที่สุด แต่อย่าลืมว่าผมก็ทำมากที่สุดมาหลายปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าแผนงานโครงการที่ลงไปทุกจังหวัดก็เยอะพอสมควร แต่มันไม่ได้ง่ายที่จะไปเททีเดียวทุกจังหวัด เพราะอย่าลืมว่าเรามี 77 จังหวัด และวันนี้สิ่งที่จะทำให้ประเทศเปลี่ยนไปได้ คือ นายกฯเป็นผู้ตัดสินใจกำหนดนโยบายคณะรัฐมนตรี (ครม.) และพรรคร่วมรัฐบาลวันนี้ก็มาร่วมกัน ไม่มีพรรค พรรคไหนก็มา รวมถึงประชาชนที่จะต้องสรุปให้ได้ว่าแต่ละพื้นที่มีความต้องการอย่างไร” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลเติมเงินในบัตรสวัสดิการคนจน ไม่ใช่หาเสียง ต้องการให้ทุกคนที่มีรายได้น้อยมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยมีเงินซื้อข้าว ทั้งนี้ พื้นที่เราดีกว่าเขา ฝนนานๆ ท่วมที คิดถึงก็มาที พอบอกไม่ท่วม แห้งแล้งมาก เทมาสักทีก็ท่วมเข้าไป พื้นที่เราดีที่สุดในโลกตนคิดว่า อย่างประเทศเวียดนาม ที่เจอพายุปีละ 100 กว่าลูก เราเจอลูกเดียวยังแอ่นอยู่อย่างนี้ เราจะต้องภูมิใจในสิ่งที่เรามีอยู่ความเป็นปึกแผ่น ความรักความสามัคคี การมีสถาบันของชาติเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด และวันนี้รัฐบาลแก้ทุกอย่างทั้งลดหนี้ ลดภาษี และไปดูโครงการลดหนี้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หนี้ครู หนี้ข้าราชการ หนี้เกษตรกร มันเคยมีใครทำสำเร็จบ้าง รัฐบาลนี้กำลังแกะออกมาให้หมดแต่ช่วงนี้เป็นช่วง โควิด-19 ลดเวลาผ่อนการชำระหนี้ ซึ่งนายกฯพยายามทำอย่างดีที่สุด ยืนยันดูแลให้ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนายกฯพบปะประชาชน ปรากฏว่า นายกฯได้ไอเป็นระยะ แต่ไม่ถึงกับต้องหยุดการพูด โดยนายกฯกล่าวว่า “ต้องขอโทษด้วย” ทั้งนี้ ในช่วงหนึ่งนายกฯเห็นว่ามีคนยกมือประท้วงอยู่ข้างนอก จึงกล่าวขึ้นว่า “ใครยกมือประท้วงอยู่ข้างนอก แต่ก็ช่างเขา” จากนั้นนายกฯก็พูดต่อถึงการลงพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ก่อนนายกฯ จะพูดจบ ได้หยิบกระดาษขึ้นมาอ่านขอบคุณ โดยพูดว่า “ขอบคุณชาวบ้วนซ้วน” ทำให้ประชาชนทักท้วงว่า “ต.บ้านซ่าน” จึงทำให้นายกฯ แซวว่า “ใครเขียนภาษามาแบบนี้เอาไปฆ่าทิ้ง” เรียกเสียงหัวเราะจากประชาชน
ก่อนที่นายกฯจะแนะนำรัฐมนตรีที่ร่วมลงพื้นที่ให้ประชาชนรู้จัก โดยช่วงที่แนะนำ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายกฯ กล่าวว่า “มีบางคนนั่งเงียบ เป็นจำเลยร่วมกับตน หากทำงานไม่สำเร็จถือเป็นจำเลยร่วมกัน และ ครม.ทั้งหมดก็ถือว่าเป็นจำเลยร่วม” จากนั้นให้ ส.ส.ที่เดินทางมาร่วมคณะแนะนำตัวด้วย ก่อนที่นายกฯจะมอบถุงยังชีพและเดินทักทายประชาชน พร้อมกับชูมือส่งสัญลักษณ์ไอเลิฟยูพร้อมกล่าวว่า “รักทุกคน เชื่อใจผมสิ ทำด้วยใจ ถ้าไม่ทำเลิกนานแล้ว”
จากนั้นนายกฯ เยี่ยมชมกิจกรรมตามบูธต่างๆ โดยมีการสอบถามกลุ่มแม่น้ำ ที่นำผักปลอดสารพิษและผลผลิตทางการเกษตรมาจัดแสดง ซึ่งนายกฯ พูดเป็นภาษาอีสานถามหาปลาร้า และบอกว่าชอบกิน โดยระหว่างเยี่ยมชมนายกฯ ได้สอบถามด้วยว่า “ได้ฉีดวัคซีนแล้วหรือยัง” พร้อมนำสเปรย์แอลกฮอลล์มาฉีดที่มือ ซึ่งกลุ่มแม่บ้านแซว “กลัวติดเชื้อโควิดหรือ” โดยนายกฯ ตอบกลับว่า “ กลัวฉันจะเอาไปติดเธอ ที่ฉันมากลัวจะเอาเชื้อไปติดเธอ”
ทั้งนี้ มีเกษตรกรนำทุเรียนจำนวน 3 ลูก มามอบให้นายกฯ โดยบอกว่า “ให้เอาไปฝาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้วย” ซึ่งนายกฯ รับปากว่า “จะเอาไปให้ลุงป้อม ลุงป๊อก และลุงตู่ เดี๋ยวจะกินทั้งเปลือก”
ต่อมานายกฯ เยี่ยมชมโครงการโคบาลประชารัฐ ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบของนายสมศักดิ์ ที่ได้ริเริ่มไว้ ซึ่งดำเนินการในจังหวัดสุโขทัย จึงได้อธิบายความเป็นมาของโครงการให้นายกฯทราบความคืบหน้า ซึ่งระหว่างนั้นวัวตัวหนึ่งได้ร้องเป็นระยะ ทำให้นายกฯถึงกับต้องขยับหน้ากากอนามัย เปิดปากพูดกับวัวตัวดังกล่าวว่า “รู้แล้ว เขาบอกแล้ว เห็นด้วยไหม” พร้อมกับเอามือไปลูบหัวอย่างอารมณ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินเยี่ยมชมมาถึงรถประกอบอาหารช่วยเหลือประชาชน ของกองทัพบก โดยมณฑลทหารบกที่ 39 นายกฯ ได้ขึ้นไปทำผัดกระเพราไก่ ไข่ดาว เพื่อแจกให้กับประชาชน พร้อมกับพูดติดตลกว่า “อาหารนายกฯแต่ก่อนนี้ เขาเรียกว่าอาหารสิ้นคิด ไม่ต้องคิดมาก กินง่ายๆ” ก่อนจะขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ