“เพื่อไทย” ดิ้นพล่าน เรียกฟันโทษหนัก ส.ส. ไม่โหวตตามคำสั่งพรรค “ลูกยงยุทธ-อดีตแดงเชียงใหม่-หน.การ์ดจตุพร” โหวตให้น้องเนวิน-รมต.รัฐบาล หักเจ้าของพรรค? “ทนายบิลลี่” ลา “ก้าวไกล” ไม่ชอบวิธีการ เนื้อหาแก้ ม.112
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (5 ก.ย. 64) เพจเฟซบุ๊ก THE TRUTH โพสต์ประเด็น “เพื่อไทย” ดิ้นพล่าน เรียกฟันโทษหนัก ส.ส. ไม่โหวตตามคำสั่งพรรค
โดยระบุว่า สืบเนื่องจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.- 4 ก.ย. 64 เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน “ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล” โดยผลการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จำนวนผู้ลงมติทั้งหมด 475 เสียง ไม่ไว้วางใจ 208 เสียง ไว้วางใจ 264 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง พร้อมกับ 5 รัฐมนตรี สภามีมติไว้วางใจนั้น
ที่น่าแปลกใจใครหลายๆ คน ก็คือ มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย จำนวนหนึ่งโหวตสวนมติพรรค โดยอ้างว่า รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตอบคำถามอย่างมีเหตุและผล บวกกับฝ่ายค้านซักถามไม่ชัดเจน หลักฐานไม่เพียงพอ แต่ก็มีกฎและการสั่งลงมติแบบซ้ายหันขวาหัน ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ใช่ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติของปวงชนชาวไทยทำกัน
เรื่องนี้ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าว ว่า ส.ส. ที่มีเจตนาฝ่าฝืนมติของพรรค ทั้งขาดประชุมโดยไม่มีเหตุผล ตั้งใจให้ร้ายกับพรรคด้วยความเท็จ และผู้ที่มีลักษณะที่บ่งบอกว่าไม่ต้องการจะอยู่กับพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า
คณะกรรมการจริยธรรมของพรรค จะมีการประชุมในวันจันทร์ที่ 6 ก.ย.นี้ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงก่อนพิจารณาดำเนินการในขั้นต่อไป หากพบจงใจทำผิดขั้นร้ายแรง พรรคจะขับออกจากสมาชิกพรรคทันทีตามมาตรการขั้นเด็ดขาดของนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค ที่ได้ออกหนังสือแจ้งไปยัง ส.ส. ทุกคนก่อนหน้านี้
อ้างถึงเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 64 ก่อนจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทย ได้ออกหนังสือ พท 0762/2564 โดยมีเนื้อหา ว่า
“เพื่อให้การตรวจสอบฝ่ายบริหารด้วยการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจข้างต้น เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามญัตติที่พรรคได้เสนอไป จึงขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในการลงมติให้เป็นไปตามแนวทางและนโยบายของพรรคด้วยการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทุกคนที่ถูกอภิปราย”
เป็นเหตุให้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กำลังตรวจสอบหนังสือดังกล่าวอยู่ ว่า อาจจะมีความผิดขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 124 วรรคหนึ่ง ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 1/2542 เนื่องจากการออกหนังสือดังกล่าว เป็นการบังคับล่วงหน้าว่า ส.ส. จะต้องลงมติตามความในหนังสือ นั้น ส่อเข้าข่าย “อาจเป็นปฏิปักษ์” ตามแนวที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 3/2562 ด้วย
ขณะเดียวกัน THE TRUTH ยังโพสต์ประเด็น ลูกยงยุทธ-อดีตแดงเชียงใหม่-หน.การ์ดจตุพร โหวตน้องเนวิน-รมต.รัฐบาล หักเจ้าของพรรค?
เนื้อหารระบุว่า สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 64 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธานนั้น
มีรัฐมนตรีถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ต่อมาปรากฏว่า ผลการลงมติ มีรายชื่อ ส.ส.งูเห่า ในพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่ได้ลงมติไปในญัตติ “ไม่ไว้วางใจ” แต่มีการงดออกเสียง และไม่ลงมติ โดยมี ส.ส.จากพรรคก้าวไกล มากถึง 6 คน ตามมาด้วย พรรคเพื่อไทย ไม่ลงมติรวม 3 ราย และงดออกเสียงอีก 3 ราย และพรรคเพื่อชาติ ไม่ได้ลงมติไปในญัตติ “ไม่ไว้วางใจ” แต่มีการงดออกเสียง และไม่ลงมติ มี นางสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช, นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล, นางลินดา เลิดชัย และ นายอารี ไกรนรา
สำหรับผลการลงคะแนนของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ได้รับคะแนนไว้วางใจสูงสุดในครั้งนี้ พบว่า การออกเสียงลงคะแนนของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านแทบจะไม่มีแตกแถว มีเพียง ส.ส.ก้าวไกล ลงมติไว้วางใจ ได้แก่ นายเกษมสันต์ มีทิพย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ด้าน ส.ส.จากพรรคเพื่อชาติ ได้แก่ น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล นางลินดา เชิดชัย และ นายอารี ไกรนรา ลงมติงดออกเสียง ยกเว้น นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคที่ลงมติไม่ไว้วางใจ
ขณะที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พรรคเพื่อชาติ ที่มี นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ลงมติไม่ไว้วางใจ นายศักดิ์สยามคนเดียว ส่วน ส.ส.อีก 4 คน ลงมติงดออกเสียง ได้แก่ น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช, นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล, นางลินดา เชิดชัย และ นายอารี ไกรนรา
สำหรับผลคะแนนของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน พรรคเพื่อชาติ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรค โหวตไม่ไว้วางใจนายสุชาติ แต่ลูกพรรคที่เหลืออีก 4 คน งดออกเสียง
ส่วน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พรรคเพื่อชาติ มีแค่นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติที่ลงมติไม่ไว้วางใจ ส่วนลูกพรรคเพื่อชาติอีก 4 คน ลงมติงดออกเสียง
อย่างไรก็ตาม การลงมติครั้งนี้ของ 4 ส.ส.พรรคเพื่อชาติ เป็นที่น่าจับตามอง เพราะ น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช นั้นเป็นลูกสาวยงยุทธ ติยะไพรัช, นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล เป็นอดีตแกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่, นางลินดา เชิดชัย เป็นอดีต ส.ส.เพื่อไทย และ นายอารี ไกรนรา เป็นอดีตหัวหน้าการ์ดของจตุพร ซึ่งเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร แต่ครั้งนี้กลับลงมติงดออกเสียงให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม น้องชาย นายเนวิน ชิดชอบ
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน THE TRUTH โพสต์ประเด็น “ทนายบิลลี่” เผยชัด ไม่ไปต่อกับ “พรรคก้าวไกล” ทัศนคติไม่ตรงกัน ไม่ชอบวิธีการและเนื้อหาการแก้ไข ม.112
โดยระบุว่า วันนี้นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ หรือ “ทนายบิลลี่” ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ได้ชี้แจงในกรณีที่มีการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่ง นายจิรวัฒน์ ได้โหวตไม่ไว้วางใจทุกคน ยกเว้น นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
โดย นายจิรวัฒน์ ให้เหตุผลว่า ตนไม่ได้ลงคะแนนด้วยความตั้งใจ เนื่องจากที่ผ่านมานายศักดิ์สยามก็ได้มีการช่วยเหลือแก้ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับด้านคมนาคมให้กับประชาชนในเขตพื้นที่ของตนจากการประสานขอความช่วยเหลือไป
ทั้งนี้ นายจิรวัฒน์ ยังเปิดเผยด้วยว่า อนาคตตนคงไม่ได้ไปกับพรรคก้าวไกล เพราะมีทัศนคติหลายอย่างไม่ตรงกัน ตั้งแต่เรื่องความเห็นต่างในประเด็นการแก้ไขประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทั้งในเนื้อหาและวิธีการแก้ไข จึงไม่ได้ร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพรรค จึงห่างเหินและไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมกันอีกเลย
แน่นอน, สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ก็คือ ความขัดแย้งภายในพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งถือเป็นบาดแผลที่ยากเยียวยา หรือสมานแผลให้หายดีเหมือนเดิมได้
ประเด็นก็คือ พรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย และพรรคสาขาของเพื่อไทย ภายใต้การกุมบังเหียนของนายใหญ่แดนไกล ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม่มีวี่แววว่า จะแตกแยก แหกมติพรรค แต่พอเอาเข้าจริง ก็เกิดขึ้นจนได้ นั่นแสดงว่า “นายใหญ่” ก็เริ่มไม่มีความหมายแล้วใช่หรือไม่?
ยิ่งกว่านั้น ยังมีกระแสร้อนแรงไปในทางที่ “นายใหญ่” สยายปีกไปดีลกับรัฐมนตรีพรรคแกนนำรัฐบาลบางคน ซึ่งไม่ถูกอภิปราย จนกลายเป็นประเด็นทะเลาะกันรุนแรงระหว่างพลพรรคก้าวไกล กับพลพรรคเพื่อไทย ก่อนการอภิปราย... เพื่อเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาล และโหวตล้มพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีอีกต่างหาก
นั่นหมายถึง การรุกคืบฝ่ายตรงข้ามเพื่อที่จะได้คะแนน “ไม่ไว้วางใจ” เพิ่มขึ้น แถม นายทักษิณ ยัง ยุประชาชน ผ่าน “คลับเฮาส์” ให้กดดันส.ส.ของตัวเอง ไม่ให้โหวตไว้วางใจนายกฯ จนทำให้เห็นว่า งานนี้พล.อ.ประยุทธ์ ถูกเชือดเลือดสาดแน่
แต่สุดท้าย ก็อย่างที่เห็น “3 ป.” เอาอยู่ และ “มันจบแล้วครับนาย” ก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
เหนืออื่นใด สิ่งที่เห็นได้ชัดอีกอย่างก็คือ เกมของ “เนวิน” ที่ใครก็ประมาทไม่ได้ในทางการเมือง แม้แต่ “ทักษิณ” เพราะเห็นได้ชัด ขณะที่ “ทักษิณ” รุกฆาตพื้นที่ฝ่ายตรงข้าม ปรากฏว่า “เนวิน” เข้าตีตลบหลัง ชิงพื้นที่ตีหัวเมืองมาได้อย่างง่ายดาย
คำถาม คือ “ทักษิณ” หรือ จะสู้ “เนวิน” ? มันมีคำตอบมาตั้งนานแล้ว