“พิธา” แฉยับเครือข่าย “วปอ.- บริษัทรับเหมา” นั่งบอร์ดองค์การเภสัชฯ เคาะซื้อวัคซีน-ATK เปิดเอกสารเมินร่วม “โคแวกซ์” ทั้งที่โครงการอีเมลหาตลอด แต่รัฐบาลไม่ตอบกลับ ซ้ำพบ “ซิโนแวค” ติดสินบนที่จีน มีส่วนต่างเพียบ
วันที่ 2 ก.ย. 2564 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ถ้าเราเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ตนเกรงว่า เราจะไม่มีประเทศหลงเหลือ ถ้าเราเลือกประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ คือ สลักแรก ที่เราต้องถอดออก มันทารุณเกินไปที่ปล่อยให้ประชาชนต้องตายเป็นใบไม้ร่วง จากโควิด-19 นี่คือ ราคาที่สภาฯ และประเทศแห่งนี้ต้องจ่าย เป็นบทเรียนราคาแพงว่าเวลามีมูลค่า ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาคำว่า รอก่อน เป็นคำสุภาพที่หยาบที่สุดในหัวใจของคนไทย และคำว่ารอก่อนที่คนไทยยังไม่รู้ คือ รอไปตลอดกาล
เบื้องหน้าเราอาจจะได้คำอธิบายจากรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ในการจัดหาวัคซีน โดยบอกว่าวัคซีนเป็นของหายาก และทุกประเทศต้องการ วัคซีนยี่ย้อเดียวที่มีของพร้อมจัดส่ง คือ ซิโนแวค แต่ยังมีปริศนาอยู่มากว่า ความจริงคืออะไร
นายพิธา กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ เราต้องพูดเรื่องการทูตวัคซีน เอกสารที่ตนจะใช้ประกอบ ได้เช็กกับต่างประเทศ และสถานทูต โดยตนจะทำให้เห็นว่าเบื้องหลังของการจัดหาวัคซีนนั้นทำอย่างไร เอกสารแรกคือ โทรเลขระหว่างรัฐบาลไทยกับสถานทูตในประเทศที่มีการผลิตวัคซีนหลายประเทศ ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่ 3 ช่วงคือ ช่วงแรกเดือน พ.ย. 2563 ที่มีผู้เสียชีวิต 60 คน ซึ่งจากการพิจารณาเอกสาร ตนขอกล่าวหาว่า รัฐบาลตั้งใจที่จะเทวัคซีนคุณภาพ ทิ้งลงกลางอ่าวไทย และกล้าพูดเลยว่าแทนที่รัฐบาลจะตามไฟเซอร์ แต่เป็นไฟเซอร์ที่ต้องตามรัฐบาลไทย ว่าจะซื้อวัคซีนของบริษัทหรือไม่ เป็นการล็อกผลม้านั่นเอง
จากนั้น นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ได้ขอให้ นายพิธา เปิดเอกสารให้สมาชิกในห้องประชุม ได้เห็นและนำกลับไปตรวจสอบที่นำมาพิจารณาอย่างชัดเจนด้วย
โดย นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ได้วินิจฉัยว่า นายพิธา ไม่ผิดข้อบังคับ สามารถอภิปรายต่อได้ และเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. แต่หลังเสร็จการอภิปราย ให่ส่งเอกสารให้สภาฯ ตรวจสอบทั้งหมด
จากนั้น นายพิธา จึงกล่าวต่อพร้อมกับเปิดเอกสารที่รัฐบาลไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ รวมถึงอีเมลที่ทางโคแวกซ์ทวงถามว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ ว่า โคแวกซ์ห่วงคนไทยมากกว่ารัฐบาลไทยเสียอีก เพราะได้ทวงถามว่าจะเข้าโครงการโคแวกซ์หรือไม่ แต่อยู่ดีๆ รัฐบาลก็หายไลน์ไม่ตอบ แม้โคแวกซ์จะอีเมลหาตลอด ทั้งที่นายกรัฐมนตรีประเทศอื่น ไล่โทร.จิกทำงานเชิงรุก ซึ่งผลจากการไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ได้กลับมาหลอกหลอน ช่วงที่ 2 เดือน เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า มั่นใจมีวัคซีน 100 ล้านโดส แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็ไปขอบริจาคจากต่างประเทศ และก็ไม่เคยยอมรับว่ามีความผิดพลาดที่ไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ ทั้งที่คนไทยจะมีโอกาสได้วัคซีนที่มีคุณภาพ และช่วงที่ 3 เดือน มิ.ย. เป็นเรื่องของความไร้เอกภาพของรัฐบาลไทย การทูตวัคซีนมี 2 กระทรวงที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีข่าวว่า ทั้งสองกระทรวงมีความขัดแย้ง และไร้เอกภาพ เบื้องหลังเกิดจากคนที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีไม่สามารถบูรณาการการทำงานได้ที่ทำเนียบรัฐบาล เพราะเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน รัฐบาลไทยติดต่อไปที่ทำเนียบขาว ของสหรัฐอเมริกา ให้ไปบอก CEO ของบริษัท ไฟเซอร์ ให้ยกเว้นหนึ่งประเทศหนึ่งสัญญา เพื่อให้สามารถเจรจาได้ทั้งสองกระทรวง ม้าตัวอื่นเทเขาทิ้ง นั่นคือสาเหตุ ที่ม้าเต็งไม่มา ม้ามืดก็เป็นม้าหลัก แล้ววัคซีนที่มาฉีดไม่ใช่เรื่องของราคา เรื่องเวลา แต่เป็นเรื่องความน่าเชื่อถือว่าจะสยบวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างไร
“ทั้งที่ซีอีโอ บริษัท ซิโนแวค มีประวัติติดสินบน ปี 2002-2011 ทั้งวัคซีนไข้หวัดนก โรคซาร์ส ถ้า อย. จีนอยากได้บ้านก็ได้บ้าน อยากได้รถก็ได้รถ คนเป็นนายกฯ รู้หรือไม่ สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ยังไม่ได้มีการพูดถึงคือ เซลส์ของซิโนแวคใน 20 มณฑลของประเทศจีน มีเงินทอนในวัคซีน 5,321 โดส ได้เงินทอน 2,421 เหรียญสหรัฐ การเลือกวัคซีนใดให้มันเป็นวัคซีนหลัก รัฐบาลได้มองรอบด้านแล้วหรือยัง ข่าวร้ายในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการยุทธวิธีต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในวัคซีนที่แทงม้าตัวเดียว แต่กำลังจะเกิดขึ้นกับอาวุธที่สำคัญด้วยคือชุดตรวจ ATK ซึ่งผมจะไม่พูดมะงุมมะงาหรา เหมือนที่ ส.ส. ฝ่ายค้านพรรคอื่นพูดมาแล้ว เช่น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย และ นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า อีกประเด็นที่สำคัญ บริษัทของเล่อปู๋ ผู้ขายชุดตรวจ ATK ให้กับประเทศไทย 8.5 ล้านชุด มีกรณีซ้ำรอยกับซิโนแวค คือ บริษัทนี้ประวัติมีในการติดสินบนให้แพทย์ โฆษณาชักจูงอย่างไม่ตรงไปตรงมาว่า ชุดตรวจนี้มีประสิทธิภาพ และน่าใช้มากกว่า ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศจีน สรุปแล้วเราไว้ใจนายกฯ ให้ตัดสินใจเรื่องสำคัญนี้ได้หรือไม่ นอกจากนี้ คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมที่มีส่วนตัดสินใจในการซื้อวัคซีน และชุดตรวจ ATK นั้น มีคนอยู่ 3 ประเภท คือ 1. กลุ่มญาติและพี่น้อง 2. กลุ่มที่รู้เรื่องยามากเกินไปและมีส่วนได้ส่วนเสีย และ 3. กลุ่มที่มาจากภาคเอกชนและภาคราชการ แต่มีความเหมือนกัน คือคณะกรรมการองค์การเภสัชส่วนใหญ่จะผ่านหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) จบโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง และบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่งแห่งหนึ่ง แล้วนายกฯ ไว้วางใจกลุ่มคนเหล่านี้ให้ตัดสินใจในการซื้อซิโนแวค หรือชุดตรวจ ATK ของบริษัท เล่อปู๋
ถึงเวลาแล้วที่เราจะเอามัจจุราชในทำเนียบรัฐบาลออกจากประเทศของเรา เพื่อให้ประเทศไทยเดินออกไปได้ ตนจึงไม่สามารถไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ให้บริหารประเทศได้อีกต่อไป