“ศรีสุวรรณ” เตรียมร้อง ป.ป.ท.สอบแพทย์นครสวรรค์ ออกใบรับรองการตายของผู้ต้องหาถูกถุงคลุมหัวดับ ทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่
วันนี้ (25 ส.ค.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ ( 26 ส.ค.) จะไปร้องเรียนต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. เพื่อให้สอบสวนเอาผิดนายแพทย์ ผู้พิสูจน์การเสียชีวิตของผู้ต้องหา ที่ปรากฏในคลิปเหตุการณ์ขณะผู้กำกับโจ้ใช้ถุงคลุมศีรษะรีดเงิน 2 ล้าน ฆ่าพ่อค้ายาเสพติด และยังมีการเปิดเผยเอกสารอีกหนึ่งฉบับ คือ หนังสือรับรองการตายของผู้ต้องหา ที่ออกโดยแพทย์จากโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ พร้อมระบุสาเหตุการเสียชีวิตโดยสันนิษฐานว่า ผู้ต้องหาได้เสียชีวิต เพราะพิษจากสารแอมเฟตามีน ซึ่งการกระทำในคลิปกับการระบุสาเหตุการตายในเอกสาร มันขัดแย้งกันหรือไม่ การเขียนสาเหตุของการตายว่าสันนิษฐานว่า พิษจากสารแอมเฟตามีน ซึ่งระบุเหตุแห่งที่ตาย คือ การ Overdose ซึ่งตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงที่เป็นข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏในคลิปวิดีโอโดยชัดแจ้ง
“การเขียนในลักษณะนี้ ชี้ให้เห็นว่า เป็นการจดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการหรือไม่ ซึ่งหากพิสูจน์แล้วว่าเป็นการร่วมมือกันกับตำรวจในกรณีดังกล่าวจริง แพทยสภาจะต้องดำเนินการถอนถอนใบอนุญาตประกอบโรคศิลปในลำดับถัดไปด้วย เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและขัดต่อจรรยาบรรณแพทย์อย่างร้ายแรง” นายศรีสุวรรณ ระบุ
อย่างไรก็ตาม แม้เป็นแค่หนังสือรับรองการตายหรือใบ ท.ร.ให้ญาตินำไปขอใบมรณบัตรที่อำเภอ จะได้นำศพไปทำพิธีได้ ซึ่งหนังสือรับรองการตายมีความมุ่งหมายเพื่อเก็บสถิติการตาย ไม่เกี่ยวกับใบชันสูตรพลิกศพที่หมอจะออกมาให้ตำรวจเพื่อใช้ทำคดี แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อศพมาถึงโรงพยาบาลการแอดมิตตรวจร่างกายทั่วไป ว่า พบร่องรอยชัดเจนใดๆ ที่เป็นสาเหตุการตายหรือไม่ หรือทำแค่ฟังตำรวจว่าเสพยาบ้ามาและช็อกหมดสติไปเท่านั้น เพราะถ้าเป็นการตายผิดธรรมชาติตามระเบียบต้องมีการผ่าชันสูตรศพเท่านั้น ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 148 วรรคหนึ่งกำหนด แล้วจึงออกใบชันสูตรศพให้อีกครั้ง ว่า ตายจากสาเหตุอะไรกันแน่ ซึ่งจะนำไปสู่การไต่สวนโดยศาล ตามมาตรา 150 ว.3 และ ว.5 ต่อไป แต่ประเด็นสำคัญคือ ศพได้ผ่าจริงๆ หรือไม่
กรณีดังกล่าวเป็นข้อพิรุธ ที่อาจเชื่อได้ว่า แพทย์จากโรงพยาบาลดังกล่าว อาจร่วมมือกับตำรวจในการจัดทำเอกสารใบรับรองการตายอันเป็นเท็จ เพื่อทำให้รูปคดีเปลี่ยนไปจากข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นอันตรายต่อกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะไปร้องเรียนต่อ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เพื่อสอบสวนเอาผิดนายแพทย์คนดังกล่าว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
