xs
xsm
sm
md
lg

"อนุทิน“ ฟ้อง"ณวัฒน์" - "วิโรจน์" หยุดการเมืองใส่ร้ายด้วยกฎหมาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อาจเรียกว่าถึงเวลาเสียที ที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ส่งนักกฎหมายไปฟ้องเอาผิด “นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ส.ส.พรรคก้าวไกล และ “นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล”พิธีกรผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ต่อศาลอาญา
ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

เบื้องหลังของเรื่องนี้ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส. บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า
กรณีของนายณวัฒน์ มาจากกรณี Live ผ่านเพจเฟซบุ๊กของตน โดยการอ่านข่าวการให้สัมภาษณ์ของนายอนุทิน กรณีพระราชกำหนดจำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และได้วิพากษ์วิจารณ์ มีถ้อยคำตำหนิ ให้ร้าย สอดแทรกในระหว่างการอ่านข่าวหรืออ่านข้อความข่าวนั้น เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า ซึ่งการเสนอข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นจากที่นายณวัฒน์ได้พูดโดยมีเจตนาที่จะชี้ชวนให้ประชาชน ให้เข้าใจนายอนุทินไปในทางที่เสียหายว่าเป็นผู้เสนอพระราชกำหนดดังกล่าวเพื่อเป็นการนิรโทษกรรม โดยอ้างบุคลากรทางการแพทย์มาบังหน้าเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องพ้นผิด หรือไม่สามารถเอาผิดกับใครได้ ความจริงแล้วนายณวัฒน์ต้องตรวจสอบก่อนว่า กรณีพระราชกำหนดดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนตั้งคณะกรรมการยกร่างกฎหมายเพื่อพิจารณากลไกคุ้มครองผู้ทำงานในช่วงภัยพิบัติโรคระบาด โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้องร้อง ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนหรือได้ศึกษาพิจารณาให้ได้ความกระจ่างหรือแนวทางการดำเนินการ แต่นายณวัฒน์กลับด่วนสรุป โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ซึ่งมิได้เป็นการติชมโดยสุจริต

ขณะที่นายวิโรจน์นั้น มาจากกรณีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนผ่านเพจเฟซบุ๊ก และช่องยูทูบของพรรคก้าวไกล กรณีพระราชกำหนดจำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในระหว่างการแถลงข่าวนายวิโรจน์ได้วิพากษ์วิจารณ์ มีถ้อยคำตำหนิ ให้ร้ายต่อนายอนุทินในระหว่างการแถลงข่าวและตอบคำถามนักข่าว โดยที่ไม่ใช่การติชมด้วยความเป็นธรรม โดยอาศัยสื่อมวลชนดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ไปยังประชาชนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงเจตนาของนายวิโรจน์ที่จะชี้ชวนสาธารณชนให้เข้าใจนายอนุทินไปในทางที่เสียหาย ว่านายอนุทินเป็นผู้เสนอพระราชกำหนดดังกล่าวเพื่อเป็นการนิรโทษกรรม โดยอ้างบุคลากรทางการแพทย์มาบังหน้าให้ตนพ้นผิด

นายศุภชัยยังกล่าวว่า ความจริงแล้วนายวิโรจน์ทราบดีว่ากรณีพระราชกำหนดดังกล่าว ยังอยู่ในขั้นตอนตั้งคณะกรรมการยกร่างกฎหมาย เพื่อพิจารณากลไกคุ้มครองผู้ทำงานในช่วงภัยพิบัติโรคระบาด โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้องร้อง ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนหรือได้ศึกษาพิจารณาให้ได้ความกระจ่าง หรือแนวทางการดำเนินการ แต่นายวิโรจน์กลับวิพากษ์วิจารณ์ โดยที่มิได้เป็นการติชมโดยสุจริต เจตนามุ่งร้าย หวังทำลายนายอนุทินในทางการเมือง ทำลายพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีนายอนุทินเป็นหัวหน้าพรรค อันอาจเป็นผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกผู้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

การตัดสินใจของนายอนุทิน โดยใช้กฎหมายปกป้องตัวเอง จากการเมืองที่มุ่งใส่ร้ายป้ายสีโดยไร้ความจริง ที่จ้องทำลายและหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ที่สำคัญ ไม่จำยอมกับ สภาพที่แต่ไหนแต่ไรนักการเมือง ส่วนใหญ่มักยอมรับสภาพไม่ต่างจากกระโถน ที่ต้องทนรับคำผรุสวาทจากสารพัดทิศทาง และได้แค่ยิ้ม และพยายามลืมๆกันไป ยอมรับอันเป็นธรรมเนียมการเมืองแบบไทย ที่เปรียบเป็น “บุคคลสาธารณะ” ที่ต้องทนรับแรงกระแทกได้จากทุกสารทิศ ชนิดที่กลืนเลือดก็ต้องยอม

แต่นั่น มิได้หมายถึงคนชื่อ"อนุทิน"
การรับมือต่อเสียงวิจารณ์ของเขาจึงไม่เหมือนใคร

ในแวดวงนักธุรกิจ นายอนุทินได้ชื่อว่าเป็นคนชัดเจน ตรงไปตรงมา และทำให้ เขาสามารถอยู่ในกระทรวงสาธารณสุขได้

ที่ผ่านมา นายอนุทิน อดทนอดกลั้นกับเรื่องการวิจารณ์มามาก ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์ วิจารณ์ แต่ขอให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ ตามข้อเท็จจริง และ อยู่ในกรอบกฎหมาย แต่ช่วงหลังชักไปกันใหญ่ มีการดึงนายอนุทิน เข้าไปเกี่ยวพันกับทุกเรื่องเช่นเรื่อง พ.ร.ก. ปกป้องคนทำงานก็เช่นกัน

นี่คือเรื่องที่คณะแพทย์หลายกลุ่มเสนอขึ้นมา เพื่อปกป้องผู้ปฏิบัติหน้าที่จากการถูกฟ้องร้อง แต่มีการวิจารณ์ว่านายอนุทิน กำลังจะนิรโทษกรรมตนเอง ขณะที่กฎหมายฉบับนี้ ยังเป็นแค่ตั้งไข่ อยู่ในขั้นตอนการร่างอยู่เลย การตัดสินนายอนุทินเช่นนี้ เสมือนเป็นการตีตราใส่ร้าย จึงเป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้

เพราะการเมืองอีกด้าน เลือกที่จะสาดเสียเทเสีย พยายาม พูดซ้ำ ให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นความจริง ใช้กฎ พวกมากลากไป สร้างกระแส ตราหน้าฝ่ายตรงข้าม แต่กลับไม่ยอมใช้ข้อเท็จจริงพิสูจน์ตามหลักฐาน

มาวันนี้ เมื่อนายอนุทิน เลือกตอบโต้ อีกฝ่าย ผ่านคำฟ้องร้องโดยใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง

เท่ากับนายอนุทิน กำลังดึงให้การเมืองไทย กลับมาอยู่ในจุดที่ตั้งอยู่บนหลักการเหตุผลของกฎหมายอีกครั้ง






กำลังโหลดความคิดเห็น