xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ถกสถานการณ์ ศก.ในประเทศ จับตา ธปท.กู้เพิ่ม 1 ล้านล้าน ฟื้นฟูให้เกิดการหมุนเวียน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ประยุทธ์” หารือสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ จับตา ธปท.เสนอกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

วันนี้ (23 ส.ค.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เรียกประชุมภายในกับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง / นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ

โดยจับตาไปที่ประเด็นการเสนอให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทาง ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดส่งผลให้รายได้ภาคครัวเรือนถูกกระทบเป็นหลุมกว้างและหายไปอย่างมาก โดยจากข้อมูลในช่วง 2 ปี (2563-2564) หายไปกว่า 1.8 ล้านล้านบาท และคาดว่า ในปี 2565 จะหายไปอีกราว 8 แสนล้านบาท รวมเป็นเม็ดเงินรายได้ที่ถูกกระทบหายไป 2.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินของภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันคงยังไม่เพียงพอกับหลุมรายได้ที่หายไป

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลังเพื่อช่วยให้รายได้และฐานะการเงินของประชาชนและธุรกิจเอสเอ็มอีกลับมาฟื้นตัวเร็วที่สุด โดยภาครัฐมีทรัพยากรจำกัด จึงต้องใช้วิธีที่ให้ผลทวีคุณต่อเศรษฐกิจสูง อาทิ มาตรการคนละครึ่ง ค้ำประกันสินเชื่อ เป็นต้น เมื่อเทียบกับมาตรการเยียวยาที่ได้ผลน้อยกว่า จึงต้องใช้ยาแรงตามขนาดของหลุมโดยการเติมเม็ดเงินท็อปอัปจากเดิมที่มีอยู่อีกอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 7% ของจีดีพี

ทั้งนี้ การใส่เม็ดเงินเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบอีก 1 ล้านล้านบาท จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ซึ่งจากปัจจุบันในระดับกว่า 50% ไปอยู่ที่ระดับพีกสูงสุดที่ประมาณ 70% ของจีดีพีในปี 2567 และหลังจากนั้น จะทยอยลดลงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็วขึัน

หากดูเสถียรภาพการคลังภาพรวมยังคงสมเหตุสมผลและความเสี่ยงจะน้อยกว่าไม่ทำอะไร ซึ่งมองว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะซึ่งขึ้นไป 70% เศรษฐกิจไทยไม่ได้ลำบากและยังรองรับได้ และสภาพคล่องในระบบตอนนี้ยังมีและเป็นการกู้ในประเทศ และหากดูดอกเบี้ยกู้ตอนนี้ระยะยาว 10 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ยไม่ถึง 1.6% ซึ่งเทียบกับประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ดอกเบี้ยตอนนี้อยู่ 4.6% จึงมองว่าเป็นยาที่จำเป็นและเหมาะสมกับสภาวะ กู้เพื่อใส่ตอนนี้ดีกว่าทำตอนหลังที่ทุกอย่างชะลอตัว แต่การกู้แล้วต้องมีแผนชัดเจน”


กำลังโหลดความคิดเห็น