xs
xsm
sm
md
lg

เพื่อไทยจับมือพรรครัฐบาล รื้อเลือกตั้งเทก้าวไกล !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เมืองไทย 360 องศา

การเมืองไม่มีมิตรแท้ หรือศัตรูถาวรยังใช้ได้เสมอ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับ “ผลประโยชน์” ที่ตัวเองจะได้รับอยู่ตรงหน้าเท่านั้น สิ่งที่พิสูจน์ชัดเจนที่สุดในเวลานี้ ก็คือ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่บรรดา “พรรคใหญ่” ต่าง “รวมหัวกัน” หรือที่เรียกว่า “ลอยแพ” บางพรรคก็ได้
แน่นอนว่า หากโฟกัสให้ตรงจุดก็ต้องบอกว่าพรรคใหญ่ที่ว่านั้น ก็คือ พรรคเพื่อไทย และ พรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งพรรคเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ นั่นแหละ ขณะที่บางพรรคที่ถูกลอยแพในที่นี้ก็ย่อมหมายถึง พรรคก้าวไกล ในเครือข่ายของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่กำลังจะได้รับผลกระทบมากที่สุด หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราดำเนินการแกไขได้สำเร็จ

ล่าสุด ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการที่มี นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธานได้แก้ไขเสร็จเรียบร้อย และส่งต่อให้กับ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระพิจารณาในวาระที่สอง และสามต่อไปในเร็วๆ นี้

สำหรับร่างแก้ไขที่ผ่านการพิจารณาดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้ ร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) พบว่า กมธ.ได้แก้ไข 2 มาตรา ตามที่ที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบในวาระที่หนึ่ง คือ มาตรา 83 ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก จำนวน 500 คน โดยแบ่งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน โดยให้ใช้บัตรเลือกตั้ง ส.ส. แบบละหนึ่งใบ และ มาตรา 91 ว่าด้วยการคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศ แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมือง เป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง ได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น

นอกจากนี้ กมธ. ยังได้แก้ไข และยกเลิก มาตรา 85 กมธ.แก้ไขกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดและมีคะแนนสูงกว่าคะแนนที่ไม่เลือกใคร (โหวตโน) เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องตรวจสอบเบื้องต้นและประกาศผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่า 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง

ขณะเดียวกัน ที่น่าจับตาก็คือ ทางคณะ กมธ. ยังเพิ่ม “บทเฉพาะกาล” ด้วยว่า ให้รัฐสภาดำเนินการตามมาตรา 132 เพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญนี้ โดยต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายใน 120 วัน นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้

น่าสนใจก็คือ ในกรณีที่ยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และต้องมีการเลือกตั้ง ส.ส.ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเลือกตั้ง ส.ส.ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อใช้บังคับกับการเลือกตั้งนั้นไปพลางก่อน

เมื่อพิจารณาจากการเพิ่มบทเฉพาะกาลที่ต้องพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันหรือ “สี่เดือน” และหากยังพิจารณาแก้ไขไม่แล้วเสร็จให้อำนาจ คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดหลักเกณฑ์มาใช้บังคับการเลือกตั้งแทนไปพลางก่อน แบบนี้ถึงได้บอกว่า “รวมหัวกัน” เอาแน่ นั่นคือ “ต้องรีบใช้” ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ให้ได้ เรียกว่า “ล็อกเอาไว้ทุกทาง” ว่าต้องเป็นการเลือกตั้งแบบ “บัตรเลือกตั้งสองใบ” ที่พวกเขา (พรรคใหญ่ และพรรคเก่าแก่) เห็นว่าได้เปรียบ

และงานนี้ตามรายงานข่าวบอกว่า พรรคเพื่อไทยเป็นผู้เสนอให้กำหนดเอาไว้ในบทเฉพาะกาลดังกล่าวเสียด้วย โดยเฉพาะการให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการกำหนดหลักเกณฑ์การเลือกตั้งหากการพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องเสร็จไม่ทัน 120 วัน

ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่งานนี้ทำให้พรรคก้าวไกล ถึงกับต้อง “ดิ้นพล่าน” โวยวายว่าถูกเผด็จการพวกมากลากไปสารพัด และกล่าวหาว่ากรรมาธิการเสียงข้างมาก ทำผิดข้อบังคับทำการ “แปรญัตติ” เกินร่างแก้ไขที่รัฐสภารับหลักการในวาระแรกเอาไว้ นั่นคือ การแปรญัตติเพิ่มมาตราใหม่ขึ้นมา เป็นต้น พยายามขัดขวางโดยอาจเสนอให้ตีความในเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันแบบเข้าใจ อีกมุมหนึ่งก็น่าเห็นใจพรรคก้าวไกลเหมือนกัน เพราะงานนี้หากมีแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราที่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้งมาเป็นแบบใช้ “บัตรเลือกตั้งสองใบ” แบบเดิม นั่นเท่ากับว่า เสี่ยงที่จะให้พรรคก้าวไกล “สูญพันธุ์” หรือเป็นพรรค “ต่ำสิบ” เป็นไปได้สูง เพราะอย่างที่รู้กันว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันที่พวกเขากล่าวหาว่าเป็น “เผด็จการสืบทอดอำนาจ” นั้น แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ได้ประโยชน์จากระบบการคำนวณคะแนนที่เรียกว่า ระบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ที่เลียนแบบมาจากระบบเลือกตั้งของเยอรมนี ประกอบกับด้วยสถานการณ์การเลือกตั้งในเวลานั้นที่เชื่อมโยงไปถึงพรรคไทยรักษาชาติ ที่ถูกยุบพรรคก็ย่อมส่งผลให้พรรคก้าวไกลได้ ส.ส.มากที่สุด

แต่มาวันนี้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม อย่างที่บอกว่า “ไม่มีมิตรแท้” มีแต่ “ผลประโยชน์” เมื่อถึงเวลาก็ต้อง “ลอยแพ” เป็นธรรมดา โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่มั่นใจว่าตัวเองจะได้เปรียบหากมีการเลือกตั้งด้วยระบบบัตรสองใบเหมือนการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ รวมไปถึงพรรคใหญ่อื่นๆ อย่าง พรรคพลังประชารัฐที่มี “กระสุนพร้อม” หรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคเก่าแก่ มีสมาชิกพรรคมากที่สุด และชาวบ้านคุ้นชินกับชื่อพรรคมานาน ก็คิดว่าไม่เสียเปรียบจึงเดินหน้าเต็มที่

ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวเท่าที่เห็นในเวลานี้ และในอนาคตอันใกล้ จะเห็นภาพว่า ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นวันไหนก็ตามจะต้องมีการเลือกตั้งแบบที่ใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ ที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้ และนั่นเท่ากับว่าบรรดาพรรคเล็กๆ ทั้งหลายที่เคยได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะเสี่ยงสูญพันธุ์ โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล และที่สำคัญถูกรวมหัวลอยแพแน่นอน!!


กำลังโหลดความคิดเห็น