ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ร้อนฉ่า “ชัญญ่า” “ครอบครัวกระทิงแดง” เจอดรามา VVIP ดีลิเวอรี “Pfizer” ฉีดถึงที่บ้านก่อนบุคลากรด่านหน้า งานนี้ต้องตั้งสติกันนิด
ประเด็นร้อนว่อนเน็ตที่ไม่พูดถึงไม่ได้ กรณีชาวโซเชียลฯ แห่จับพิรุธกลุ่มบุคคลระดับ “VVIP” ได้วัคซีน “ไฟเซอร์” ก่อนบุคลากรด่านหน้า พร้อมกับพาดพิง ไฮโซชื่อดัง “ชัญญ่า ทามาดะ” ซึ่งเหตุมาจากที่เธอโพสต์ลงโซเชียลฯ เป็นภาพที่เธอได้วัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว
อีกทั้งคนอ้างมีไอจีลับของ “ชัญญ่า” ที่โพสต์ ชัญญ่าและครอบครัวได้ฉีดไฟเซอร์ครบ 2 เข็ม โดยเป็นบริการ “สุดพิเศษ” ที่นำมาฉีดให้ถึงบ้าน
จากเรื่องนี้ทำให้ชาวเน็ตต่างเข้าไปคอมเมนต์ถาม “ชัญญ่า” ในอินสตาแกรมว่า ได้ฉีดไฟเซอร์ที่ไทยแล้วจริงหรือ และทำไมถึงได้ฉีดก่อนบุคลากรทางการแพทย์ ?
ว่ากันว่า งานนี้มี VVIP หลายคนถูกพาดพิง นอกจากชัญญ่า ยังมี “แป้ง-พลอยวารินทร์ ทรงปกรณ์” ไฮโซสาว หลานสาวคนสนิทของเจ้าแม่เรดบูล “ดารณี อยู่วิทยา” ว่าในทำนองเดียวกัน คนในครอบครัว “กระทิงแดง” ได้รับการฉีดวัคซีน Pfizer แล้วทั้งบ้าน แถมยังมีคนเอาวัคซีนมาฉีดให้ถึงบ้านเช่นกัน
เป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ (30 ก.ค.) สหรัฐอเมริกาได้ส่งวัคซีนไฟเซอร์ ให้ไทยจำนวน 1,503,450 โดส โดยรัฐบาลวางหลักเกณฑ์การจัดสรรวัคซีน Pfizer 1.5 ล้านโดสนี้ ให้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ เข็ม 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกัน จำนวน 700,000 โดส ผู้มีภาวะเสี่ยงสูง 645,000 โดส ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 150,000 โดส ทำการวิจัย 5,000 โดส และสำรองส่วนกลาง 3,450 โดส
ก่อนหน้านี้ วัคซีน Pfizer ตกเป็นกระแสดรามาว่า เป็น “วัคซีนเทพ” ประกอบกับ วัคซีนที่มีเข้ามาในไทยขาดแคลน ไม่เพียงพอ จนมีความต้องการจะฉีดวัคซีนตัวนี้กันเป็นจำนวนมาก
งานนี้ พอไฟเซอร์มา และประจวบเหมาะที่กลุ่ม VVIP โพสต์ว่า รับวัคซีนยี่ห้อนี้จึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมา
หลังดรามากันหนัก “ชัญญ่า” ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยบอกว่า ข่าวลือที่ออกมานั้น เป็น Fake News พร้อมยืนยันว่า ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยก่อนที่จะมีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามาแล้ว และเห็นด้วยที่ต้องฉีดวัคซีนคุณภาพให้กับบุคลากรด่านหน้าให้เร็วที่สุด “รบกวนหยุดพาดพิงถึงคนอื่นด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ขณะที่ “แป้ง-พลอยวารินทร์” ก็ต้องออกมาชี้แจงเหมือนกันว่า “เนื่องจากมีกระแสข่าวที่พาดพิงมาถึงแป้ง และมีหลายๆ ท่าน ที่ทักเข้ามาสอบถาม จึงอยากชี้แจงตรงนี้ค่ะ แป้งอยู่เมืองไทยนะคะ ไม่ได้ฉีดไฟเซอร์ค่ะ... และตราบใดที่ยังอยู่เมืองไทย ไม่คิดจะฉีดจนกว่าบุคลากรทางการแพทย์ และบุคลากรด่านหน้าจะได้รับวัคซีนทุกคนค่ะ”
เอาเป็นว่า งานนี้ได้สะท้อนสังคม ยุควิกฤตโดยเฉพาะ ภาวะที่วัคซีนไม่เพียงพอ อารมณ์ของสังคมย่อมต้องการเห็นความเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และที่สำคัญ ต้องการให้บุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ด่านหน้า ไดัรับก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ไม่ควรจะมี VVIP หน้าไหนได้สิทธิพิเศษทั้งนั้น
แต่หาก VVIP ที่ถูกพาดพิงไม่เป็นธรรม โดยไม่ใช่ความจริง ดรามา เฟกนิวส์ในท่วงทำนองนี้ ก็ไม่ควรเกิดขึ้นเช่นกัน เอะอะจัดทัวร์ ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง
ภาวะแบบนี้ ต้องตั้งสติกันให้มากไว้ดีกว่า
**ลุงตู่ กับบทพิสูจน์ Single Command ล็อกดาวน์ยาวไป..สู่ห้วงวิกฤตหนักสุด 1-2 เดือนนี้ ชี้ชะตาประเทศ
เป็นอันว่า มาตรการควบคุมโควิด-19 ที่วิกฤตหนักหนาสาหัสตอนนี้ ในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. เป็นประธาน ศบค. ขอล็อกดาวน์ต่อไปอีก 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. เป็นต้นไป
แต่ในความเข้มงวดก็มีผ่อนคลายอยู่บ้าง … ที่ว่าเข้มนั่นคือ การเดินทาง โดยให้เลี่ยง จำกัด หรือ งดเว้นการเดินทางออกจากเคหสถาน หรือที่พำนักโดยไม่จำเป็น ตั้งแต่ เวลา 21.00-04.00 น., งดให้บริการขนส่งข้ามจังหวัด, การตั้งด่านสกัดระหว่างเขตจังหวัด การจัดกิจกรรม ห้ามมีการรวมตัวเกิน 5 คน
ร้านอาหาร ห้ามบริโภคภายในร้าน ขายได้แบบนำไปบริโภคที่อื่น เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. งดจำหน่ายและดื่มสุรา ขณะที่ร้านอาหารในห้าง ลูกค้าเดินทางมาเพื่อจะซื้อกลับไปที่บ้านไม่สามารถทำได้ แต่สามารถสั่งผ่านดีลิเวอรีได้
ขณะที่ ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า เดิมปิดหมด ก็ให้เปิดได้เฉพาะร้านอาหาร เครื่องดื่ม โดยเฉพาะผ่านดีลิเวอรี, ร้านขายยา, ซูเปอร์มาร์เก็ต เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น.
ที่ให้ปิดยาวๆ ก็ได้แก่ ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม สถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา
นอกจากนี้ ยังมีการยกระดับการควบคุมโรคในสถานประกอบกิจการ ได้แก่ โรงงาน แคมป์แรงงาน และบริษัท ใช้มาตรการบับเบิล แอนด์ซีล ในพื้นที่จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม
ฟังว่า “นายกฯ ลุงตู่” แจ้งในที่ประชุม ศบค. ทราบว่า ระยะเวลา 1-2 เดือนข้างหน้าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ซึ่งทั่วโลกมีทิศทางการแพร่ระบาดรุนแรง และเพิ่มมากขึ้น ศบค.จึงเร่งดำเนินการในขณะนี้
ท่ามกลางวิกฤตโควิดวันนี้ การประกาศล็อกดาวน์รอบใหม่นี้ มีทั้งเสียงสะท้อนเข้ามาอย่างหลากหลาย ฝ่ายที่มองว่ามีความจำเป็นก็เห็นด้วย เพราะการแพร่ระบาดของโควิด รุนแรง และไม่มีทีท่าจะบรรเทาลง ขณะที่อีกฝ่ายมองว่าเป็นความล้มเหลวของการบริหารจัดการของ ศบค.ที่ไม่สามารถคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดไดั
ไม่ว่าฝ่ายไหนจะมองอย่างไร ความจริงที่เป็นอยู่ ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า เมื่อมองดูเหตุการณ์โดยภาพรวม มีแต่สังคมต้องช่วยกัน เพื่อฟันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ ที่ถือว่ากระทบไปหมดทุกอณูของสังคมจริงๆ
หาก 1-2 เดือนนี้ เป็นระยะวิกฤตที่สุดอย่างที่ลุงบอก ก็ต้องบอกว่า นี่เป็นห้วงเวลาสำคัญของลุงตู่ กับ บทพิสูจน์ Single Command ที่ล็อกดาวน์ยาวไปหนนี้ จะชี้ชะตาประเทศไปทางไหนอีกครั้ง