วันนี้ (12 ก.ค.)นายธวเดช ภาจิตรภิรมย์ หัวหน้าพรรคแนวทางใหม่ กล่าวว่า จากประกาศล่าสุดของ ศบค. ว่าด้วยมาตรการควบคุมโรคและปรับโซนสีพื้นที่ใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ก.ค. 64 นั้น พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวมถึงจังหวัดสงขลา ถูกจัดอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือเรียกว่าเป็นพื้นที่ ‘สีแดงเข้ม’ และมีการนำแนวทาง Home Isolation หรือการกักตัวเองที่บ้านมาใช้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวัลคือวิธีการจัดการ เช่น หากบ้านไหนพบว่ามีการติดเชื้อจะมีการกันเขตและติดธงสีแดงจนสร้างความรู้สึกน่ากลัว ทำให้ทันทีพบว่าติดเชื้อ ผู้ได้รับเชื้อต้องอยู่ในสภาพถูกรังเกียจจากคนรอบข้าง ทั้งที่การเป็นผู้ป่วยควรได้รับกำลังใจและการสนับสนุนความช่วยเหลือด้านต่างๆเพื่อให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ปลอดภัยได้ภายใต้มาตรการควบคุมโรค
“ต้องเข้าใจว่าพื้นที่ชายแดนใต้ตกอยู่ในบรรยากาศของความกลัวและความหวาดระแวงมานาน ยิ่งในเวลานี้กลายเป็นพื้นที่สีแดงเข้มทั้งในสถานการณ์ความมั่นคงทางทหารและความมั่นคงสาธารณสุขพร้อมๆกัน ซึ่งการแก้ปัญหาความมั่นคงทั้งสองเรื่องจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนหรือคนในพื้นที่เป็นสำคัญ หากเกิดความไม่ไว้วางใจและสร้างความรู้สึกติดลบไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ก็จะทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือและกลายเป็นผลเสียมากกว่าเดิมได้ ดังนั้น สำหรับพื้นที่อ่อนไหวเช่นนี้ ภาครัฐจะต้องระมัดระวังการสื่อสารให้มาก ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อสถานการณ์และผู้ติดเชื้อ การติดเครื่องหมายเพื่อให้คนผ่านไปมารับรู้ว่าบ้านหลังไหนมีผู้ติดเชื้อเป็นเรื่องจำเป็น แต่ควรเป็นเครื่องหมายเชิงบวกและให้กำลังใจ ไม่ใช่การทำติดธงแดงหรือทำเหมือนเป็นพื้นที่ต้องห้าม ซึ่งการสร้างทัศนคติแบบนี้ไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการควบคุมโรคระบาด เพราะจะทำให้ไม่มีใครกล้าเปิดเผยว่าตนเองติดเชื้อเนื่องจากเกรงจะถูกปฏิบัติเหมือนบุคคลที่น่ารังเกียจ หรือเป็นคนผิดสำหรับชุมชน โดยถูกมองว่าต้องไปทำพฤติกรรมเสี่ยงไม่ระมัดระวังตัวเองจึงติดเชื้อ ทั้งที่สถานการณ์เช่นนี้ใครๆก็มีโอกาสติดเชื้อได้ แต่สิ่งที่ต้องสื่อสารให้เข้าใจคือ การกักตัวเป็นการแยกผู้ติดเชื้อออกมาได้เร็ว ลดการระบาดวงกว่า และเพื่อทำให้เขาเข้าถึงการรักษาหรือติดตามอาการได้ก่อนที่จะมีอาการหนัก ต้องสื่อสารให้เข้าใจว่าผู้ติดเชื้อก็มีโอกาสรักษาหายได้โดยไม่ต้องนอนเป็นคนไข้หนักในโรงพยาบาลด้วยซ้ำ จึงอยากฝากว่า การสร้างทัศนะคติที่ดีเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในแก้ไขสถานการณ์ความมั่นคงทุกมิติ”นายธวเดช กล่าว
นายธวเดช กล่าวต่อว่า ได้รับรายงานมาจากพื้นที่ว่า แม้สถานการณ์ในพื้นที่ค่อนข้างวิกฤตและทุกคนยอมรับว่าควรมีการควบคุมการเดินทางหรือการเข้าออกจากพื้นที่ให้เข้มงวดมากขึ้น แต่ความเป็นพื้นที่สีแดงเข้มก็ยังมีมาตรการที่ต่างกันไปคือ ในกรุงเทพและปริมณฑลจะมีความเข้มงวดกว่า ขณะที่จังหวัดชายแดนใต้และสงขลายังคงเข้าออกได้ตามปกติ ทั้งที่สถานการณ์หนักไม่แพ้กัน ประเด็นก็คือ ชาวบ้านในพื้นที่มีความกังวลมากจึงพยายามลดการเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัดไปมา แต่ส่วนใหญ่กลับกลายเป็นข้าราชการที่เข้าออกจากพื้นที่เพื่อกลับบ้านตามปกติ จึงทำให้มีความไม่สบายใจเกิดขึ้นสูงในพื้นที่ ทั้งกลัวว่าอาจจะไปรับเชื้อเข้ามาพื้นที่หรือเอาเชื้อออกไปกระจายต่อ และจะยิ่งไม่เป็นผลดีต่อมาตรการทางสาธารณสุข
“หากต้องการให้สามารถควบคุมการกระจายเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาครัฐรวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดก็ควรจะเข้มงวดกับข้าราชการในสังกัด ควรขอความร่วมมือไม่เดินทางเข้าออกจากพื้นที่ในช่วงเวลานี้ อย่างน้อยก็ควรต้องทำเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ไม่เช่นนั้นต่อให้ยกระดับพื้นที่เป็นสีอะไร แต่หากข้าราชการยังคงอยู่ในสภาวะยกเว้น การควบคุมโรคระบาดอย่างมีประสิทธิภาพก็จะไม่อาจเกิดขึ้นจริงได้เลย และจะเป็นอีกหนึ่งปมคนในพื้นที่จะรู้สึกเป็นลบต่อภาครัฐจนกลายเป็นความไม่ไว้ใจและไม่ร่วมมือในอนาคตด้วย” นายธวเดช ระบุ