ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตไวรัสมฤตยูโควิดกลายพันธุ์ ที่กำลังทำเอาประชาชนคนไทยอกสั่นขวัญกระเจิงกันทั้งประเทศ หลังยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดพุ่งทะลักกันเป็นรายวัน ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อไปถึง 9,000 คนและจ่อแตะระดับเกิน 10,000 คนอยู่รอมร่อ
ทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ต้องเรียกประชุม ศบค.ชุดใหญ่ฉุกเฉิน ก่อนงัดมาตรการ “ล็อกดาวน์” 14 วันจำกัดการเดินทางของประชาชนใน 6 จังหวัดพื้นที่เสี่ยงพร้อมขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวให้งดการเดินทาง ยกเว้นในเหตุที่มีความจำเป็นหรือบริการขนส่งที่มีความจำเป็น เท่านั้น
ท่ามกลางข้อกังขาของผู้คน มาตรการ “ล็อกดาวน์” ดังกล่าวจะหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อมรณะดังกล่าวได้แน่หรือ? ในเมื่อทุกฝ่ายต่างรู้กันอยู่เต็มอก คำตอบสุดท้ายของการสกัดกั้นการแพร่ระบาดและหยุดเชื้อมรณะนี้อยู่ที่ “วัคซีน”ต้านโควิด(ที่มีประสิทธิภาพ) ซึ่งดูจะเป็นสิ่งเดียวที่รัฐบาลยัง “แก้ไม่ตก” ไม่สามารถจัดการปัญหานี้ให้สะเด็ดน้ำลงไปได้
อย่างไรก็ตามในห้วงที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตไวรัสมรณะระลอกแล้วระลอกเล่า จนทำเอาเศรษฐกิจไทยทรุดฮวบพังพับไปทุกหย่อมหญ้า ผู้คนตกงานกันเป็นเบือแทบจะอดตายกันทั้งแผ่นดิน ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการ่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ถึงกับต้องประกาศปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย (GDP)ในปี 2564 ลงมาเหลือ 0-1.5% เท่านั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโควิด-19 และมาตรการเพิ่มเติมของรัฐที่จะออกมา
แต่กลับไม่น่าเชื่อว่า ในส่วนของกลุ่มทุนยักษ์ ธุรกิจใหญ่ต่างๆ ของเมืองไทยกลับไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้แม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังคงเติบโตสวนกระแสวิกฤติไวรัสโควิดที่กำลังลามเลีย โดยล่าสุด Forbes Asia ได้จัดอันดับ 50 อันดับมหาเศรษฐีเมืองไทยประจำปี 2564 (2021)
ซึ่งพบว่า “ธนินท์ เจียรวนนท์” ยังคงครองอันดับ 1 ทำเนียบเศรษฐีเมืองไทย ด้วยทรัพย์สินรวมกว่า 30,200 ล้านเหรียญหรือกว่า 9.4 แสนล้าน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 8.8 แสนล้านหรือเพิ่มขึ้น 10% ตามมาด้วยนายเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของกลุ่มบริษัทกระทิงแดง ที่มีทรัพย์สินรวม 24,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 784,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 6.5 แสนล้าน หรือเพิ่มขึ้น 21.2% อันดับ 3 นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริษัทไทยเบฟเวอเรจมีทรัพย์สินรวม 12,700 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 406,400 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 3.4 แสนล้านหรือ 20.95% อันดับ 4 ตระกูลจิราธิวัฒน์ ธุรกิจห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ทรัพย์สินรวม 11,600 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 371,200 ล้านบาท อันดับ 5 นายสารัชถ์ รัตนาวะดี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ทรัพย์สินรวม 8,900 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 284,800 ล้านบาท
นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล อดีต รมต.คลัง เพิ่งออกมาโพสต์สัพยอกรัฐบาลชุดนี้หลังจากเดินทางไปฟังคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ยืนตามศาลชั้นต้นไม่รับฟ้องคดีที่ตนยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่อนุมัติให้การรถไฟฯ ทำสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน หรือ “ไฮสปีดเทรน” กับกลุ่มทุนทั้งที่รัฐทำสัญญาเสียเปรียบ แต่ทั้งศาลปกครองและศาลปกครองสูงสุดกลับไม่รับฟ้อง ด้วยข้ออ้าง “ผู้ฟ้องไม่ได้เป็นผู้เสียหายจึงไม่มีสิทธิฟ้อง”
และก่อนหน้าไม่กี่วัน ศาลปกครองก็เพิ่งจะยกคำร้องของ 37 องค์กรผู้บริโภคฟ้องคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า(กขค.) กรณีอนุมัติควบรวมกิจการค้าปลีก-ค้าส่งที่ส่อขัดกฎหมาย ก่อให้เกิดการผูกขาดมีอำนาจเหนือตลาด เพราะเดิมกลุ่มทุนค้าปลีกของเจ้าสัวนั้นมีส่วนแบ่งการตลาดที่กว่า 50% และเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่สุดท้ายการยื่นฟ้องเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวมของเครือข่ายองค์กรเพื่อผู้บริโภคทั้งมวลกลับต้องพ่ายยับ เมื่อศาลปกครองยกคำร้องโดยอ้างว่ามติ กขค.ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎหมายอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุให้ต้องพิจารณาอะไรอีก
ตอกย้ำให้เห็นว่ากฎหมายแข่งขันทางการค้าของประเทศไทยนั้น ”มีก็เหมือนไม่มี” หนักเข้าไปอีก!
คงจะเพราะเหตุนี้ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นประชาชนในชุมชนประชาอุทิศ 79 พากันบุกไป “ร้านสะดวกซื้อ” ในเครือกลุ่มทุนใหญ่เพื่อสอบถามถึงสาเหตุที่ยังคงเปิดให้บริการหน้าตาเฉยทั้งที่มีพนักงานในร้านติดเชื้อโควิด แต่ทางร้าน นอกจากจะปิดบังแล้ว ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ก่อนที่เรื่องจะแดงขึ้นมาเพราะผู้คนในชุมชนทนไม่ไหวจึงรวมตัวกันบุกไปเค้นความจริง ทางร้านจึงยอมปิดให้บริการ
ทั้งที่หากเป็นสาขาของธนาคาร ประกันภัย หรือสถานีบริการน้ำมันน้อยใหญ่ หากเจอสถานการณ์เช่นนี้ หน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้องจะต้องโดดเข้าไปตรวจสอบและสั่งให้ทางบริษัทต้องออกคำเตือนให้ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการในห้วงเวลาก่อนหน้าที่จะตรวจพบเชื้อได้มีการตรวจคัดกรองเพื่อกักตนเอง หรือรักษาตนเองไม่ให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่ขึ้นมาแล้ว
แต่กับร้านสะดวกซื้อในเครือข่ายนั้นนอกจากจะปิดบังไทม์ไลน์เสียสนิท และร้านยังคงเปิดให้บริการผู้คนจนถูกลุกขึ้นมาแหกอกแล้ว ศบค.ก็กลับไม่มีการดำเนินการอะไรตามมาแม้แต่น้อย ก็สมควรอยู่หรอกที่ผู้คนเขาจะสัพยอก สั่ง“ ล็อกดาวน์”ร้านรวงธุรกิจ ห้างร้านผู้คนเขาไปทั่ว