ข่าวปนคน คนปนข่าว
**พูดความจริงตั้งแต่แรกมันก็จบไปนานแล้วละลุง! เมื่อสังคมกดดัน “นายกลุงตู่” single command จำต้องขออภัยเลื่อนฉีดวัคซีน ความโกลาหลของกรณีเลื่อนฉีดวัคซีน ทำเอาประชาชนที่ลงทะเบียนในระบบเซ็งไม่หาย กับความห่วยของการบริหารจัดการ จัดสรรวัคซีนโควิดของรัฐบาล แถมเมื่อถามหาความรับผิดชอบ คำตอบที่ได้ก็โบ้ยกันไปมาจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกใน “โชคร้าย” ของความเป็นพลเมืองไทยของตัวเอง พ.ศ.นี้
อันที่จริงเรื่องนี้หากจะสืบสาวราวเรื่องก็ต้องโทษว่า รัฐบาล “ลุงตู่” โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรวบอำนาจ กม.31 ฉบับ ประกาศตัวเป็น ผอ.ศบค. “แม่ทัพสงครามโควิด” เป็น “Single Command” ที่พอประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดผิดพลาด ก็เลยทำให้การวางแผนจัดหาวัคซีนที่เชื่อกันว่าจะเป็นภูมิคุ้มกันให้สถานการณ์กลับสู่แสงสว่างก็พลอย “เละตุ้มเป๊ะ” อย่างที่เห็น
แรกๆ “นายกฯ ลุงตู่” ก็ประกาศลั่น วัคซีนมีเพียงพอเท่านั้นเท่านี้โดส จะได้มาเป็น100 ล้านโดส ตามมาด้วย จัด “Kickoff” ประโคมเป็น “วาระฉีดวัคซีนแห่งชาติ” จัดการปูพรมฉีด ทำนองว่า มีวัคซีนในกระเป๋าจำนวนมาก แต่เมื่อทำไปไม่ข้ามอาทิตย์ ก็ “โป๊ะก็แตก” วัคซีนไม่มาตามนัด จึงกลายเป็นดรามาวัคซีนไม่พอ รพ.เอกชน ขอเลื่อนฉีดกันระนาว
จากกระแสความไม่เชื่อมั่น ความไม่พอใจ สังคมกดดันมากๆ เข้า เห็นว่าเมื่อวานนี้ (15 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ แถลงข่าว โดยพูดคำว่า “ขออภัย” กับปัญหาการจัดสรรวัคซีน แต่ก็ยังยืนยันที่ผ่านมาตัวเองได้รับคำชมเชยจากประชาชนมาตลอด
ในเนื้อหาตอนหนึ่งของคำแถลงนายกฯได้เฉลยเอาไว้ว่า “ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ผอ.ศบค. ถือเป็นผู้บริหารสูงสุดในสงครามโควิดครั้งนี้ ต้องขออภัยด้วย กับปัญหาที่เกิดขึ้นและขอรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาทั้งหมด”
ว่าด้วยเรื่องการจัดสรรวัคซีน ไปยังจุดบริการทั่วประเทศอย่างทั่วถึงและพอเพียง ทุกวัน “นายกฯ ลุงตู่” รับว่า ได้สั่งการไปยังผู้รับผิดชอบตามระบบของ ศบค. โดย ศบค.จะต้องเป็นองค์กรสูงสุด และมีหลายหน่วยงานอยู่ใน ศบค.อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นส่วนของการเมือง ข้าราชการ รัฐมนตรี ก็อยู่ตรงนี้อยู่แล้ว ในการจัดการสถานการณ์โควิดและการฉีดวัคซีน ศบค.จะเป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย กำหนดหลักการในการจัดสรรวัคซีนให้แต่ละจังหวัดพร้อมๆกับ บอกว่ารัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนได้ตามเป้าหมาย 100 ล้านโดสแล้ว สำหรับประชาชน 50 ล้านคน หรือ 70 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ...ภายในสิ้นปีนี้!!
แต่ก็ออกตัวว่า ประเด็นสำคัญอยู่ที่ปริมาณวัคซีนที่ทยอยเข้ามา ต้องมีความสมดุลกับขีดความสามารถในการฉีดในแต่ละวัน ระยะเวลาที่ให้ไป และต้องฉีดภายในกี่วัน หากฉีดเต็มขีดความสามารถ วัคซีนหมดก็ต้องหยุด ...ถ้ามีมามากจากช่วงเวลาเดิมก็จะส่งมอบเพิ่มเข้าไปให้
“ลุงตู่” ยังตบท้ายด้วยวลีเดิม “เราจะต้องชนะสงครามโควิดครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างแน่นอน”
ฟังจากปากนายกฯแล้วก็ต้องบอกว่า เรื่องที่คนถามหาผู้รับผืดชอบก็ไม่ต้องไปถกเถียงโบ้ยใบ้ใครที่ไหน หรือหน่วยงานใดอีกแล้ว ตอนนี้หากจะด่าก็คงด่าได้ถูกคนขึ้น ขอให้เข้าใจตรงกัน ไม่ต้องมามีดรามา
ส่วนประเด็นสำคัญเฉพาะหน้านี้จะให้ประชาชนรอคอยวัคซีนอีกนานแค่ไหน ตอนนี้วัคซีนมี-ไม่มี แค่ไหน จะมาเมื่อไหร่ จนแล้วจนรอด คำตอบก็ยังคลุมเครือเหมือนเดิม
เรื่องนี้ถ้าลุงอยากให้จบก็แค่ “พูดความจริง” ออกมาก็เท่านั้น ยอมรับเถอะว่า ถ้าพูดความจริงให้สังคมรับรู้ตั้งแต่แรก ดรามาวัคซีนก็คงจบไปนานแล้ว ไม่ลากยาวมาจนถึงวันนี้
** “นายกป้าตู่ นันทิดา” จัดหางบ 800 ล้าน ซื้อวัคซีนฉีดให้ประชาชนได้คลายความกังวล ในสถานการณ์ที่วัคซีนโควต้ารัฐบาลยังลูกผีลูกคน นับว่าได้ใจชาวปากน้ำไปเต็มๆ เมื่อ “นายกป้าตู่” นันทิดา แก้วบัวสาย นายก อบจ.สมุทรปราการ เรียกประชุมสภา อบจ. แล้วมีมติอนุมัติการใช้จ่ายขาดเงินสะสม ประจำปี 2564 จำนวน 400 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดซื้อวัคซีนทางเลือก มาฉีดให้กับประชาชนชาวสมุทรปราการ
นับเป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นรายแรกๆ ที่ “นำร่อง” ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ หลังจาก ศบค.อนุมัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจัดซื้อวัคซีนทางเลือกมาฉีดให้ประชาชนได้
เพราะสถานการณ์เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า หากจะไปรอวัคซีนของรัฐบาลตามโควต้าที่ ศบค.และกระทรวงสาธารณสุขจัดสรรมาให้นั้น “ต้องลุ้น” ว่าจะได้รับมาจำนวนเท่าใด และเมื่อไร ...แม้แต่ “นายกฯ ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังต้องออกมาขอโทษ ขออภัย ที่การส่งมอบวัคซีนไม่เป็นไปตามแผน ได้แต่บอกว่าจัดซื้อไว้แล้ว 100 ล้านโดส ส่งมอบภายในปีนี้ ต้องได้ฉีดทุกคนแน่
แต่ความร้อนใจ ความกังวลใจของประชาชนทั่วประเทศนั้น ต้องการฉีดเข็มแรกในเดือนนี้ เดือนหน้า ไม่ใช่รอไปถึงเดือนโน้น หรือปลายปี
โดยเฉพาะ จ.สมุทรปราการ นั้น เป็นพื้นที่ทีมีการระบาดหนัก มีผู้ติดเชื้อโควิด เป็นอันดับสองรองจากกรุงเทพฯ ทั้งคลัสเตอร์ก่อสร้าง คลัสเตอร์โรงงาน มีประชากรแฝง มีแรงงานต่างด้าว เข้ามาทำงานและพักอาศัยอยู่กว่า 2 ล้านคน ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมพุ่งไปกว่า 1 หมื่นคนแล้ว
นอกจากงบฯของ อบจ.สมุทรปราการ 400 ล้านแล้ว “นายกป้าตู่” ได้ประสาน ขอความร่วมมือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆในจังหวัด เทศบาลต่างๆ มาร่วมแรงร่วมใจ “ร่วมบูรณาการ" จัดงบฯมาช่วยเสริม รวบรวมได้อีก 400 ล้านบาท รวมทั้งหมดเป็น 800 ล้านบาท
ตามขั้นตอนการดำเนินการ อบจ.ต้องขออนุมัติผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด ไปยัง ศบค. เพื่อสั่งซื้อวัคซีนทางเลือก เช่น โมเดอร์นา ไฟเซอร์ จอห์นสันแอนจอห์นสัน และ ซิโนฟาร์ม ผ่านองค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข และผ่านราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อให้ได้วัคซีนโดยเร็วที่สุด
“นายกป้าตู่” ประเมินว่า เงินจำนวนนี้หากซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม มาทั้งหมดก็จะได้ประมาณ 900,000 โดส สามารถฉีดให้กับประชาชนได้ถึง 450,000 คน เป็นการช่วยเสริมให้กับการฉีดวัคซีนตามแผนของรัฐบาลได้ครอบคลุมประชากรในพื้นที่เร็วขึ้น
ตอนนี้ก็รอเพียงว่าเมื่อดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว จะได้วัคซีนมาเมื่อไร เพราะไม่สามารถซื้อตรงไปยังบริษัทผู้ผลิตวัคซีนได้โดยตรง แต่ต้องซื้อผ่าน ศบค.และกระทรวงสาธารณสุข
แม้วันนี้วัคซีนจะยังไม่มา แต่ “นายกป้าตู่” ก็ได้ใจชาวปากน้ำไปเต็มๆ แล้ว
สำหรับเส้นทางทางการเมืองของ “นันทิดา แก้วบัวสาย” นั้น เคยเป็นกรรมการบริหาร พรรคราษฎร (ปัจจุบันเป็น พรรคมหาชน) จากนั้นลาออก มาลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ในนาม “กลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า” เมื่อปี 63 ที่ผ่านมา โดยมี “ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม” ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ และพรรคพลังประชารัฐ ให้การสนับสนุน ผลการเลือกตั้งปรากฏได้รับความไว้วางใจจากชาวปากน้ำ กว่า 340,000 คะแนน ทิ้งห่างคู่แข่งที่ได้อันดับสองกว่า 2 แสนคะแนน
ในสถานการณ์โควิดระบาดหนัก “วัคซีน” ซึ่งเป็นทางรอดก็กลับมาขาดช่วงเช่นนี้ การนำงบฯองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นภาษีของประชาชนในพื้นที่มาจัดซื้อวัคซีน ถือได้ว่าเป็นการใช้งบฯได้ถูกที่ ถูกเวลา
โดยเฉพาะถ้าวัคซีนมาถึงเร็ว ฉีดได้เร็ว ผลงานนำร่องของ “นายกป้าตู่” ก็จะได้รับการกล่าวขาน...เป็น “ปากน้ำโมเดล” ประชาชนในจังหวัดอื่นๆ ย่อมอยากให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นของตนเองได้นำไปปฏิบัติ ... แบบนี้ดีกว่าไปสร้าง “เสาไฟกินรี” เป็นไหนๆ