ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จับตาดูดีๆ อัยการยุคกอบกู้ศรัทธา สั่งตั้งคณะทำงานคดี"น้องชมพู่-ลุงพล" หมู่หรือจ่า ให้ว่าตามหลักฐานเท็จจริง งานนี้ออกมาไม่มีดรามาแน่นอน
วันนี้สังคมยังให้ความสนใจติดตาม "คดีน้องชมพู่" อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมจะเดินหน้ากันไปอย่างไร หลังจากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกหมายจับ "ลุงพล" ไชย์พล วิภา ในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย, และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งต่อมาศาลให้ประกันตัว"ลุงพล"
จากนั้น "ทนายตั้ม" ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ได้พา"ลุงพล" เข้าร้องเรียนต่อ "สิระ เจนจาคะ" ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกมธ. การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เตรียมพิจารณาเรียก "พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข" ผบ.ตร.เข้าชี้แจง โดยฟังว่า "ทนายตั้ม" เตรียมฟ้องกลับ ผบ.ตร. ในฐานฟ้องเท็จ
เรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า ต่างฝ่ายต่างก็มั่นใจ ขณะเดียวกันตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ คดีการเสียชีวิตของ"น้องชมพู่" ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไปเยอะ การคลี่คลายคดีของตำรวจที่ใช้เวลากว่า1 ปี รวบรวมหลักฐานก่อนออกหมายจับ"ลุงพล" มีดราม่าเกิดขึ้นคู่กันมาตลอด โดยเฉพาะข้างฝ่าย"ลุงพล"และภรรยา "ป้าแต๋น" กลายเป็น "ซุปตาร์" แห่งซีรีส์บ้านกกกอกไปโดยปริยาย
เมื่อมีดรามาชู "ลุงพล-ป้าแต๋น" เป็นซุปตาร์ และยิ่งมีความพยายามดึงการเมืองมาเอี่ยวกับคดีเข้ามาอีก ความยากของพนักงานสอบสวนก็เพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่ากระแสสังคมย่อมจับตาดูการทำงานของทั้งตำรวจและอัยการ ในส่วนของตำรวจก็ชัดเจนว่า ออกตัวแบบหนังฮอลิวู๊ดตั้งแต่ ผบ.ตร.ไปยันทีมชุดบุกค้นบ้านลุงพล ท่ามกลางประเด็นข้อกล่าวหาที่ถูกวิจารณ์ว่า หลักฐานยังคลุมเครือไม่ยอมหงายไพ่ตายออกมาให้สังคมรับรู้ ซึ่งก็ว่ากันว่าเกรงจะเสียรูปคดี
ตอนนี้ คีย์สำคัญของคดีย่อมหนีไม่พ้น "อัยการ"
งานนี้แว่วว่า ภายในของอัยการก็หารือกันหนัก ถึงแนวทางการทำงานในคดีน้องชมพู่ โดยที่อัยการที่เพิ่งได้ "พชร ยุติธรรมดำรง" มาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ได้มอบนโยบายให้อัยการต้องมีภารกิจฟื้นศรัทธาประชาชนมาให้ได้ ที่ก่อนหน้าองค์กรเหมือน "อาทิตย์อัสดง" โดนสังคมกระหน่ำสงสัยในการทำหน้าที่หลายต่อหลายคดี เช่น กรณีสั่งไม่ฟ้อง"บอส" วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง ที่เป็นตราปาบ นำองค์กรมัวหมอง
มาถึง"คดีลุงพล" ภายในอัยการจึงส่งสัญญานให้อัยการจังหวัดมุกดาหาร เจ้าของพื้นที่ จะต้องพิจารณาสำนวนจากตำรวจให้ทำงานกันแบบมืออาชีพ ว่ากันว่า มีคำสั่งภายในให้ ตั้งคณะทำงานเพื่อทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ โดยต้องเน้นที่หลักฐานข้อเท็จจริง ไม่หวั่นไหวต่อกระแสแรงกดดันของแต่ละฝ่าย
หากพบว่าหลักฐานข้อเท็จจริงชัดเจนเชื่อได้ ก็ฟ้อง หากตำรวจทำสำนวนโดยหลักฐานไม่เพียงพอ ฟ้องไม่ได้ ก็เป็นเรื่องของตำรวจต้องรับไป หน้าที่ของอัยการจะกระทำตามกระบวนการยุติธรรมให้ปราศจากข้อครหา
เรียกว่า ว่ากันไปตามเนื้อผ้า ตามหลักฐานข้อเท็จจริงจริงๆ มีคำชี้แจงให้สังคมยอมรับนับถือ
จับตาย่างก้าวของอัยการนี้ให้ดีๆ อย่างน้อยได้ฟังแบบนี้ก็พอพูดได้ว่า เห็นแสงสว่างเกิดขึ้นมาบ้างแล้วในการทำงานของอัยการ
ส่วนผลจะออกมาประการใดก็ต้องติดตาม หมู่หรือจ่า ฟังว่าประธาน ก.อ.คนใหม่ ให้คำมั่น ถึงวันนั้นในส่วนอัยการที่รับผิดชอบต้องไม่มีดรามา.
** คดี"บอส อยู่วิทยา" ทั้งอัยการ-ป.ป.ช. ขยับแล้ว แต่"บิ๊กปั๊ด" ยังไม่ขยับ แถม "บิ๊กตู่"ก็ทำลืม ทั้งที่ผลสอบจากคณะกรรมการชุด "อ.วิชา มหาคุณ" ที่ส่งตรงถึงมือนั้น ระบุชัดว่าใครบ้างที่มีเอี่ยว
หลังจาก "พชร ยุติธรรมดำรง" ขึ้นนั่งเป็นประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ก็ประกาศฟื้นฟูภาพลักษณ์องค์กร ขีดเส้นให้คณะกรรมการสอบสวน "เนตร นาคสุข" รองอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้องคดี"บอส" วรยุทธ อยู่วิทยา ที่ขับรถชน "ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ" ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ต้องสรุปผลสอบภายในเดือนก.ค.นี้ พร้อมขยายผลไปยังอัยการคนอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เพราะคดีนี้เป็นจุดด่างพร้อยอันสำคัญที่ทำให้สังคมเสื่อมศรัทธาต่อองค์กรอัยการ
ขณะเดียวกัน ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ขยับเรื่องนี้เช่นกัน โดย "นิวัติไชย เกษมมงคล" โฆษกป.ป.ช.แถลงล่าสุดเมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.)ว่า ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ชุด"อ.วิชา มหาคุณ" ส่งผลสอบส่งถึงนายกรัฐมนตรี แล้วนายกฯ ส่งเรื่องมาให้ป.ป.ช.ดำเนินการต่อกับผู้เกี่ยวข้องที่เข้าข่ายให้ความช่วยเหลือ "บอส อยู่วิทยา" ทั้งกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง และกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำสำนวนบกพร่อง ไม่นำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องต่ออัยการ เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาหลบหนีคดี
คณะอนุกรรมการกลั่นกรองของป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนแล้วเห็นว่า "มีมูล" จึงเสนอให้ กรรมการป.ป.ช. ตั้งกรรมการไต่สวน ผู้เกี่ยวข้อง โดยพบว่ามีผู้ที่อยู่ในข่ายความผิดนับสิบรายทั้ง "ตำรวจและอัยการ" หลังจากนั้นก็จะมีการแจ้งข้อกล่าวหา และชี้มูลความผิดตามกระบวนการต่อไป
กรณีของคดีบอสนี้ "อ.วิชา" สรุปผลสอบเสนอนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เดือน ก.ย.63 พร้อมบอกว่าในรายงานได้ระบุอย่างละเอียดว่า มีใคร และหน่วยงานใดบ้างที่เกี่ยวข้อง ขึ้นอยู่กับนายกฯว่าจะเปิดเผยต่อสาธารณะหรือไม่ แต่ในรายงานสรุปที่แจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนนั้น มีการใช้อักษรย่อแทนชื่อบุคคล ซึ่งในขณะนั้น สื่อที่ติดตามเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องก็พอจะคาดได้ว่าอักษรย่อเหล่านั้นหมายถึงใคร
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำรวจนั้น "อ.วิชา" ระบุว่า จาการตรวจสอบก็ได้เห็นพฤติกรรม ตั้งแต่แรกว่าเจตนาทำสำนวนบกพร่อง มีการตั้งข้อหากับตำรวจที่เสียชีวิต อย่างไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้รูปคดีเสียหายอย่างหนัก สะท้อนว่าไม่มีความจริงจัง จริงใจในการทำสำนวน บางข้อกล่าวหาก็ไม่ได้ใส่ในสำนวน และก็สั่งไม่ฟ้อง เช่น เรื่องเมาสุราขับรถ
กระบวนในการสั่งไม่ฟ้องนี้ ถือเป็นการร่วมมือร่วมแรงใจกันอย่างผิดปกติ แม้แต่วันที่ก็ยังผิด มีการหยิบยกพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ การร่วมมือระหว่างอัยการ เจ้าหน้าที่รัฐ ทนายความ ที่เกิดขึ้นในคดีนี้ถือว่าเป็นการทำสำนวนสมยอมไม่สุจริต..."อ.วิชา" ถึงกับใช้คำว่า "เป็นการร่วมมือกันตามทฤษฎีสมคบคิด" ทำให้สำนวนเสียไปตั้งแต่ต้น เหมือน "ต้นไม้พิษสร้างผลไม้อันเป็นพิษ" จึงเห็นสมควรให้มีการสอบสวนใหม่ เริ่มนับหนึ่งใหม่ในคดีนี้ สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่ในระดับสูง จะต้องดำเนินการเรื่องจริยธรรม สามารถทำให้พ้นตำแหน่งได้
หลังจาก"บิ๊กตู่" รับรายงานผลสอบแล้ว แม้จะมีการรื้อสำนวนสอบสวนใหม่ จนมีการสั่งฟ้อง"บอส" แต่รายชื่อผู้ที่กระทำการ"ไม่สุจริต" กลับถูกเก็บเงียบ ไม่ยอมเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ว่ามีใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ "เป่าคดี" นี้ เพียงแต่ส่งเรื่องต่อไปให้ ป.ป.ท.- ป.ป.ช.-ตำรวจ-อัยการ ดำเนินการต่อ
ถึงวันนี้ อัยการขยับแล้ว ป.ป.ช.ขยับแล้ว แต่"บิ๊กปั๊ด" พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในฐานะผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนที่เป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมซึ่งถูกระบุว่ามีเจตนาให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหา ก็ยังคงเงียบ!!
เรื่องนี้ ในสายตาของสังคมย่อมมองว่า การที่ "บิ๊กตู่-บิ๊กปั๊ด" ไม่เร่งรัดทำความจริงให้กระจ่าง แล้วลงโทษผู้กระทำผิดตามกระบวนการกฎหมาย ก็ไม่ต่างอะไรกับการ "ปกป้อง" บุคคลเหล่านี้ ...และแน่นอนว่าการปกป้องบุคคลที่ไม่สมควรปกป้อง ย่อมนำมาซึ่ง "ความเสื่อม" ของตนเองในท้ายที่สุด !!