เมืองไทย 360 องศา
ระหว่างที่นั่งพิจารณาเรื่องวัคซีนการเมืองระหว่างหน่วยงานรัฐ ที่ผู้บริหารต่างใช้เรื่องดังกล่าวเป็นหมายในการหาคะแนนเสียงในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งเป็นเพราะบรรยากาศเปลี่ยนไปจากเดิม นั่นคือ จากเคยมีความพยายาม"ด้อยค่า" และถูกทำให้ "รังเกียจวัคซีน" บางยี่ห้อ จนมีการสร้างกระแสให้บินไปฉีดวัคซีนในต่างประเทศ แต่มาเวลานี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม กลายเป็น “แย่งกันฉีด”ขณะเดียวกัน เมื่อ “การเมืองบริหารวัคซีน”ที่มีอยู่จำกัด มันก็ยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีก
แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างก็คงดำเนินการไปได้เรื่อยๆ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป กระแสแย่งกันฉีดจะค่อยๆ ลดลง ตราบใดที่จำนวนวัคซีนที่จะทยอยเข้ามาตามที่มีการยืนยันว่าภายในเดือนมิถุนายน รวมแล้วมีวัคซีนทุกยี่ห้อประมาณ 6-8 ล้านโดส และเดือนต่อไป คือกรกฎาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคมจะเข้ามาเดือนละ 10 ล้านโดส หากเป็นไปตามนี้จริง ถึงช้าก็ช้าแค่ไม่กี่วัน ก็น่าจะพอกัดฟันรอกันได้ นอกเสียจากไม่มีเข้ามาเพิ่มตามตัวเลขนี้ ซึ่งนั่นแหละป่วนแน่
อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวคงจะมีการพูดถึงและถล่มกันอีกสองสามวัน แต่ขณะเดียวกันยังมีอีกเรื่องที่น่าจับตา และเป็นประเด็น“คอขาดบาดตาย”มีผลต่ออนาคตทางการเมืองในภาพใหญ่ ก็คือเรื่อง“การแก้ไขรัฐธรรมนูญ”ที่ทุกพรรคการเมืองกำลังเคลื่อนไหวขยับตัวกันอยู่ในเวลานี้ โดยหากแยกพิจารณากันแบบสองกลุ่ม นั่นคือ พรรคร่วมฝ่ายค้านที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกน กำลังเตรียมเสนอแก้ไขทั้งสองแบบ นั่นคือ แบบ“แก้ไขทั้งฉบับ”โดยย้ำว่าจะไม่แตะต้อง หมวด 1-2 และที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และที่ตีคู่กันมาก็คื ออีกด้านหนึ่งจะเสนอแก้ไขแบบรายมาตรา ซึ่งยังมีรายละเอียดที่ต้องหารือกัน แต่หลักๆ ที่ “ตกผลึก”แล้วก็คือ การแก้ไขให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบ
ส่วนประเด็นอื่นๆ เช่น ประเด็นการ “ปิดสวิตช์”ส.ว. รวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับที่มาและการตรวจสอบขององค์กรอิสระ ที่รวมไปถึงศาลยุติธรรมคงต้องมีการหารือในรายละเอียดในกลุ่มฝ่ายค้านด้วยกันเอง ว่าจะเดินหน้าเอาจริงแค่ไหน
ขณะที่ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ที่แยกออกมาสองส่วนนั่นคือ ส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ที่เสนอแก้ไขรายมาตรานำร่องไปก่อนใครตั้งแต่สมัยประชุมคราวที่แล้ว โดยเนื้อหาหลักก็คือ การแก้ไขให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบ โดยให้มีแบบส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน และแบบส.ส.เขต 400 คน และแม้จะมีประเด็นในหมวดสิทธิเสรีภาพที่ปลีกย่อยออกมาก็ตาม แต่หลักๆ ก็จะมีแค่เรื่อง “บัตรเลือกตั้งสองใบ”เท่านั้น โดยไม่มีการแตะต้องในเรื่องอำนาจและที่มาของ ส.ว.รวมไปถึงองค์กรอิสระอื่นๆ โดยพวกเขาอ้างว่า การไปแตะต้องในเรื่องดังกล่าวจะทำให้การแก้ไขไม่ได้สักมาตราเดียว โดยเฉพาะส.ว.ที่ต้องมีส่วนร่วมในการโหวต จะทำให้แก้ไขไม่ได้ อีกทั้งยังทำให้เกิดความขัดแย้ง ล่าช้า เพราะต้องผ่านการลงประชามติ และในที่สุดก็ไม่สามารถแก้ไขได้
นอกเหนือจากนี้ ยังมีในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลสามพรรค คือ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ที่นอกเหนือจากเสนอแก้ไขรายมาตราประเด็นเกี่ยวกับบัตรเลือกตั้งสองใบแล้ว อาจยังมีเรื่องเกี่ยวกับอำนาจของ ส.ว.เรื่องสิทธิเสรีภาพ เป็นต้น
หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองทั้งหมดที่เสนอแก้ไขแล้ว มีเรื่องที่ตกผลึกร่วมกันก็คือการแก้ไขให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบ ส่วนที่เหลือก็ว่ากันไป เพราะเมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วถือว่าโอกาสผ่าน หรือประสบผลสำเร็จนั้นเป็นไปได้น้อยมาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการเสนอแก้ไขทั้งฉบับของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกน แม้ว่าจะไม่แตะหมวดที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ก็ตาม นอกเหนือจากเวลาจำกัด สอง ต้องได้เสียงสนับสนุนจากส.ว.อย่างน้อยหนึ่งในสาม และยิ่งไปแตะเกี่ยวกับอำนาจที่พูดแบบโลกสวยว่าจะ“ปิดสวิตช์”อะไรนั่นยิ่งเพ้อฝัน
ขณะเดียวกัน หากมีการเสนอแก้ไขทั้งฉบับ และหากเกี่ยวกับอำนาจและที่มาของ ส.ว.รวมทั้งองค์การอิสระตามรัฐธรรมนูญ ก็ต้องมีการลงประชามติ ซึ่งยุ่งยาก ต้องใช้เวลา สิ้นเปลือง จะถูกวิจารณ์ในเรื่องไม่คุ้มค่า และเป็นผลประโยชน์ของพวกนักการเมืองเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนของชาวบ้าน อะไรประมาณนี้
นอกเหนือจากนี้ ที่ต้องไม่ลืมกันก็คือเวลานี้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการลงประชามติยังคาอยู่ในสภา ยังไม่ผลบังคับใช้ ซึ่งเชื่อว่าต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เหมือนกัน
ดังนั้น หากพิจารณาจากองค์ประกอบหลัก และความเป็นไปได้แล้วสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงน่าจะออกมาเป็นแบบ “บางมาตรา” ที่เกือบทุกพรรคเห็นตรงกัน (ยกเว้นพรรคก้าวไกล) ส่วนประเด็นอื่นนั้นถือว่าเป็นไปได้น้อย โดยเฉพาะแบบแก้ไขทั้งฉบับ น่าจะปิดประตูไปได้เลย
เมื่อความเป็นไปได้ที่น่าจะออกมาแบบบางมาตรา ทำให้การแก้ไขได้เสร็จเร็วตามที่มีการวางไทม์ไลน์ว่าน่าจะราวเดือนสิงหาคม จากนั้นมีความคลาดเคลื่อนก็มาถึงเรื่องการยุบสภา ที่หลายคนประเมินว่าน่าจะเกิดขึ้นในราวต้นปี หรือกลางปีหน้า เพราะเมื่อดูตามจังหวะเวลาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการระดมฉีดวัคซีนที่ผ่านเป้าหมายภายในสิ้นปี การใช้งบประมาณ รวมไปถึงการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ที่สำคัญฝ่ายรัฐบาลเริ่มกุมความได้เปรียบ ก็ได้เวลาไม่ใช่หรือ !!