เมืองไทย 360 องศา
น่าจะเป็นประเด็นชวนให้คิดกันอีกรอบ สำหรับคำพูดล่าสุดของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันอังคารที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา ว่า ได้กำชับให้คณะรัฐมนตรีทุกคนเร่งสร้างผลงานให้ออกมาเป็นที่จับต้องได้ของประชาชน ภายในระยะเวลาที่เหลืออยู่อีก 1 ปี และสามารถส่งต่อภารกิจดังกล่าวให้กับรัฐบาลชุดใหม่ในอนาคต ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สรุปหลักๆ ประมาณนี้
แม้ว่าหากพิจารณากันตามวาระแล้วยังเหลืออายุของรัฐบาลชุดนี้อีกประมาณปีกว่า “เกือบสองปี” ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อไม่กี่วันก่อน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาช่วยกันสนับสนุน ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้ผ่านสภาฯไปให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากเห็นว่ายังเหลือวาระอีกเพียงแค่ไม่ถึงสองปีเท่านั้น โดยระบุว่า หากไม่ผ่านในสภาฯชุดนี้ ก็ต้องมานับหนึ่งใหม่ในชุดหน้า
เมื่อวกกลับมาพิจารณาคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ระบุในความหมายที่ว่า “ยังเหลืออีกหนึ่งปี” ให้คณะรัฐมนตรีทุกคนช่วยกันเร่งสร้างผลงาน ทำให้มองได้หลายแง่หลายมุม
“ผมได้สั่งการและมอบนโยบายไปแล้วว่าจำเป็นต้องเร่งรัดหลายกิจกรรมในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ยังเหลืออยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน และเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ส่งต่อให้กับรัฐบาลวันข้างหน้าต่อไป ทั้งนี้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ตามแผนงาน 1 ปี และแผนงานระยะปานกลาง 3 ปี ยุทธศาสตร์ 5 ปี นั่นคือ ความต่อเนื่องและสอดคล้อง สุดแล้วแต่รัฐบาลใดจะเข้ามารับผิดชอบกันต่อไป ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ต่อเนื่อง แล้วจะทำไม่ได้...
ผมไม่ได้ขัดข้องเรื่องแผนงานโครงการที่เสนอขึ้นมา แต่เราจำเป็นต้องมีการตรวจสอบคัดกรอง โดยคณะอนุกรรมการ คณะกรรมการหลายระดับด้วยกัน จากภาครัฐและภาคเอกชน มีส่วนร่วมในการพิจารณาแผนงานโครงการทั้งสิ้น ซึ่งไม่ได้ต้องการให้ไปเกิดประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น ประโยชน์ต้องตกอยู่กับพี่น้องคนไทยทุกคนในแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด ให้เกิดความทั่งถึงและเป็นธรรม
รัฐบาลยืนยันงบประมาณที่มีอยู่จะใช้อย่างคุ้มค่า รัฐบาลเอง นายกรัฐมนตรีก็ได้มีการย้ำในที่ประชุม ครม.เสมอมาให้ระมัดระวังการทุจริต ระมัดระวังความไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมีคำพูดคำกล่าวมามากมายในขณะนี้ ขอให้เข้าใจว่ารัฐบาล หรือ ครม.มีหน้าที่ในการอนุมัติหลักการและการดำเนินการ อนุมัติการใช้จ่ายเงิน แต่ในขั้นตอนการดำเนินการเป็นเรื่องของหน่วยงาน คณะกรรมการต่างๆจะต้องรับผิดชอบ ผมเองรับผิดชอบในฐานะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ผมรับผิดชอบตามลำดับชั้นของผม
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า จะทำทุกอย่างให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ไม่ละเว้นใครแม้แต่คนเดียว จะทำให้มากที่สุด และทุกจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะคนรักคนชอบ มันไม่ใช่ ผมไม่ได้ทำงานแบบนั้น จะเห็นได้ว่าหลายอย่างมีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ ผมก็ไปโกรธเคืองกับใครไม่ได้ ขอให้ระมัดระวังความขัดแย้งที่มันจะเกิดขึ้น ทำให้บ้านเมืองไม่มีเสถียรภาพ และทำให้การทำงานต่างๆ มันเป็นไปไม่ได้ แผนงานโครงการต่างๆ เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ขอให้รับฟังคำชี้แจงอันเป็นประโยชน์เป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณางบประมาณต่างๆ ในชั้นกรรมาธิการ และยืนยันว่าหากมีงบประมาณอะไรที่มีการแปรญัตติมาแล้ว ผมจะนำมาดำเนินการบริหารเพิ่มให้มากขึ้นในส่วนที่ลดน้อยลงตามความจำเป็น อันนี้เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่จะต้องรับผิดชอบต่อไปในอนาคตด้วย ขอความร่วมมือกับทุกท่านแค่นั้น
เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของเรา ซึ่งก็ได้ย้ำว่าใน 1 ปีนี้ จะต้องมีผลสำเร็จที่จับต้องเป็นรูปธรรมได้ว่าเรามีการแก้ไขปัญหาอะไรไปแล้วบ้าง และอีก 1 ปี ข้างหน้า จะทำอะไร เตรียมแผนเอาไว้ ทั้งนี้ แผนงานทั้งหมดไม่ใช่นายกฯ เป็นคนกำหนดทั้งหมด แต่เป็นแผนงานที่เสนอมาจากข้างล่าง จำนวนหลายหมื่นโครงการ ผ่านอนุกรรมการ ผ่านคณะกรรมการ จนมาถึงระดับนโยบายบริหาร ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการ เราทิ้งกันไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามระเบียบราชการทุกกรณี"
แน่นอนว่า คำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย่อมต้องเป็นประเด็นในทางการเมือง ที่อย่างน้อยมีการเคลื่อนไหวออกมาในหลายแง่มุม หลายกลุ่ม ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายตรงข้ามที่หลากหลายกลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวในลักษณะเป็น “พันธมิตรเฉพาะกิจ” เพื่อกดดันให้เขาลาออก เป็นการเคลื่อนไหวสอดประสานกันทั้งในและนอกสภาฯ
ขณะเดียวกัน ยังมีความเคลื่อนไหวกดดันต่อรองจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง แม้ว่าในภาพรวมจะยังไม่ออกมาในแบบแข็งกร้าวจริงจังนัก โดยเฉพาะท่าทีจากพรรคภูมใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี ส.ส.ของพรรคหลายคนอภิปรายโจมตีนายกรัฐมนตรีในเรื่องการ “รวบอำนาจ” ในการแก้ปัญหาโรคระบาดโควิด-19 และการจัดงบประมาณให้กับกระทรวงสาธารณสุข โดยพวกเขาอ้างว่ามีการตัดทอนงบประมาณลงมา ถึงกับกล่าวเรียกร้องให้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “กลับบ้าน” ในความหมายก็คือ “ถอนตัว” แม้ว่า นั่นคือ “การแสดง” ยังไม่ใช่ของจริงก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นการแสดงแบบนี้ออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นในช่วงเวลาแบบนี้
และแม้ว่าคำพูดดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บอกว่า “เวลารัฐบาลเหลือแค่ปีเดียว” จะเป็นไปในลักษณะที่ต้องการเร่งเร้าให้คณะรัฐมนตรีเร่งสร้างผลงานให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจจะมองได้เหมือนกันว่า นี่คือ การ “ส่งสัญญาณเตือน” ไปยัง “บางกลุ่ม” ในทำนอง “อย่าลองของ” ซึ่งหากพิจารณาจากจำนวนระยะเวลาหนึ่งปีที่ว่านั้น ก็น่าจะหมายถึง “ยุบสภา” หรือเปล่า เพราะนับอย่างไรก็ไม่ครบวาระสี่ปีแน่นอน
ขณะเดียวกัน สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ที่เชื่อมโยงอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านทาง “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และเป็นหัวหน้าพรรค ก็มีความเคลื่อนไหวกันแบบชัดเจนมากขึ้น อย่างน้อยก็เรื่อง “พลังดูด” ที่มีแย้มบอกใบ้ก่อนหน้านี้ “จะมีเซอร์ไพรส์” จากการย้ายพรรคเข้ามา หลังจากได้เห็นมาระยะหนึ่งในแล้วในลักษณะ “ฝากเลี้ยง” ไว้กับพรรคเดิม และคาดว่า ภายในเร็วๆ นี้ จะมีการนัดประชุมใหญ่ ซึ่งจับตากันว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญภายในพรรคเพื่อรับมือเลือกตั้งก็ได้
ดังนั้น คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า รัฐบาลยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปี อาจยังไม่ชัดนักว่ามีเป้าหมายอย่างไรกันแน่ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเป็นการ “ส่งสัญญาณ” บางอย่างออกให้เห็น ประเภทที่ว่า “อย่าลองของ” โดยเฉพาะในช่วงกฎหมายสำคัญที่กำลังจะเข้าสภาฯ ในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ !!