ข่าวปนคน คนปนข่าว
**หัวร่อไม่ออกร่ำไห้ไม่ได้ ชะตากรรม “ภัคพงศ์” จาก “ผู้ว่าฯ เจ้าน้ำตา” พิษผลงานแก้โควิดไม่เข้าตาต้องระเห็จจากภูเก็ต มาถึงถูกคนเมืองเพชร “ประกาศขายด่วน!!”
โควิด-19 กับเส้นทางของ “ภัคพงศ์ ทวิพัฒน์” ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ดูจะไม่ถูกกันนักในฐานะ “พ่อเมือง” ที่ใครๆ ก็ไม่อยากทน
ล่าสุด ถูกประชาชนคนเมืองเพชร ประกาศ “ขายด่วน” เพราะสุดเอือมกับฝีมือการแก้ปัญหาโควิด ซึ่งมารอยเดิมเป็น “แผลเก่า” เมื่อคราวถูกขับออกจากจังหวัดภูเก็ตเปี๊ยบ!
ครั้งนี้ก็ยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย ออกหมู่หรือจ่า แต่เชื่อขนมหม้อแกงกินล่วงหน้าได้ว่า “จอดไม่ต้องแจว” อย่างแน่นอน
ปูมหลังย้อนไป 3-4 ปี ไม่นานมานี้ดูเหมือนว่า จะเคยเป็นที่รู้จักเข้าหูเข้าตาคนไทยดีอยู่ ช่วงเป็นผู้ว่าฯเมืองพังงา ออกคลิปภาพข่าว ซาบซึ้งใจไปทั้งประเทศเมื่อคราวผู้ว่าฯ ภัคพงศ์ เดินทางไปเปิดบริษัท พังงาประชารัฐ รักสามัคคี แล้วสะอึกสะอื้นร่ำไห้ จนเป็นที่มาของ “ผู้ว่าฯ เจ้าน้ำตา”
จากพังงาย้ายมา จ.พิษณุโลก ประเดิมโครงการเมืองแห่งความสุขอย่างยั่งยืน ด้วยการถอดอัตลักษณ์ 4 DNA และลุยถั่วโครงการศูนย์ราชการแห่งใหม่ มูลค่านับพันล้าน ทำหน้าที่พ่อเมืองสองแควไม่ถึงปี ก่อนย้ายมา จ.ภูเก็ต พร้อมนโยบายยกระดับเป็นเมืองหลัก เมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างเต็มตัว กระทั่งโควิด-19 อาละวาด การตัดสินใจ “ล็อกดาวน์” ไม่ทันอกทันใจชาวบ้าน แก้ปัญหาล่าช้าไม่ตรงจุด ในที่สุดก็ถูกมือดีผุดแคมเปญในโลกออนไลน์
“อยากเปลี่ยนผู้ว่าฯ ภูเก็ต” ที่สุดแล้วจึงถูกคำสั่งเตะโด่งมา จ.เพชรบุรี นั่งทำงานยังไม่ทันเข้าที่ เกิดการระบาดโควิด-19 รอบ 3 ทั้งๆ ที่สถานการณ์ลุกลามทุกวัน แต่ก็ยังปล่อยให้เกิดคลัสเตอร์แคลคอมพ์ ที่ อ.เขาย้อย ตัวเลขเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 64 มีแรงงานทั้งไทยและเทศ รวมทั้งประชาชนทั่วไปติดเชื้อมฤตยูมากถึง 4,521 คน ความรุนแรงในการแพร่ระบาดยังกระจายไปตามโรงงานต่างๆ อย่างน่าวิตก ทั้งตามหอพัก บ้านเช่า แม้สถานการณ์จะวิกฤตขนาดนี้ แต่ท่าทีของจังหวัดยังงกๆ เงิ่นๆ ผู้นำชุมชนต้องตัดสินใจออกช่วยเหลือส่งข้าวส่งน้ำให้กับผู้ถูกกักตัว สุดทุลักทุเล
ที่สุดแคมเปญใหม่ของท่านผู้ว่าฯคนเก่าที่เคยถูกขับจาก จ.ภูเก็ต ก็ผุดขึ้นมา “หลอน” ผู้ว่าฯ ภัคพงศ์ อีกรอบ โดย “เอกชัย อังกินันทน์” สื่อมวลชนจังหวัดเพชรบุรี โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กเป็นภาพ ผู้ว่าฯ ภัคพงศ์ พร้อมข้อความประกอบว่า “ด่วน ประกาศขายผู้ว่าฯ เมืองเพชรบุรี” โดยบรรยายสาเหตุว่า
สืบเนื่องด้วย จ.เพชรบุรี ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ อันมีสาเหตุมาจากคลัสเตอร์โควิด-19 แพร่ระบาด ทั้งนี้ เพื่อรักษารากฐานสมดุลทางเศรษฐกิจพื้นที่ จ.เพชรบุรี ไว้ และเนื่องจากผู้ว่าฯ เป็นคนของประชาชน กระผมในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงขอเป็นตัวแทนประกาศเสนอขายท่านผู้ว่าฯ ด้วยความจำใจ เพื่อนำรายได้ทั้งหมดมากระจายรักษาผลประโยชน์ให่แก่พ่อแม่พี่น้อง ประชาชนชาว จ.เพชรบุรี ต่อไป...ใส่ราคาได้ตาความต้องการ รับประกันแท้ ดูง่าย (โปรดละเว้นคอมเมนต์คำที่ไม่เหมาะสม)
ตามประวัติ “ภัคพงศ์ ทวิพัฒน์” มีชื่อเล่นว่า “อุ๋ย” เกิด 24 ก.พ. 2504 จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รัฐศาสตร์บัณฑิต จุฬาฯ ปริญญาโทจากต่างประเทศ อบรมหลักสูตร บนส.รุ่นที่ 3 หลักสูตร นปส.รุ่นที่ 55 และ วปอ.รุ่นที่ 56 เริ่มรับราชการ ม.ค.31 เป็นนักวิชาการสังกัดกระทรวงคมนาคม ก่อนย้ายมาอยู่กระทรวงมหาดไทย เคยเป็นหัวหน้าสำนักงานจังหวัดระนอง รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา รอง ผวจ.สระบุรี ผวจ.พังงา ผวจ.พิษณุโลก ต่อมาปี 2561 ย้ายมาเป็น ผวจ.ภูเก็ต จนเกิดปัญหาเมื่อช่วงโควิด-19 ระบาดแล้วไม่สามารถคุมตัวเลขผู้ติดเชื้อได้ โดยสาเหตุมาจากการละเลยปล่อยให้สถานบริการ นักท่องเที่ยวดื่มกินอย่างอิสระจนถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง กระทั่งถูกคำสั่งย้ายมา จ.เพชรบุรี และเกิดเรื่องซ้ำแผลเดิมๆ อีก
เรียกว่า เป็นผู้ว่าฯ คนแรกและคนเดียวที่มีแคมเปญผุดขึ้นมาไล่กระหน่ำทางโลกออนไลน์มากกว่าใครในวิกฤตโควิด ชนิดที่หัวร่อไม่ออก ร่ำไห้ไม่ได้
เที่ยวนี้ท่านผู้ว่าฯอุ๋ย จะไปอยู่แห่งหนตำบลใดกันดีล่ะ ..โปรดติดตามกันต่อไป
**ดรามาจนได้ “อิทธิพล คุณปลื้ม” พรมน้ำอบใส่ทับหลังพันปี ในงานบวงสรวงต้อนรับคืนสู่แผ่นดินไทย ชาวเน็ตวิจารณ์ยับ “พิธีเขลาๆ”
เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อ “ทับหลัง” ล้ำค่า 2 ชิ้น ที่หายไปนานกว่า 50 ปี ได้กลับคืนมาสู่ประเทศไทย หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำพิธีส่งมอบให้รัฐบาลไทย ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 64 ณ นครลอสแองเจลิส แล้วนำขึ้นเครื่องมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา
ทับหลังทั้งสองชิ้นนี้ ชิ้นหนึ่งเคยประดิษฐานอยู่ข้าง “องค์ปราสาทหนองหงส์” อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ เป็นศิลปะเขมรยุคบาปวน ลวดลายพระยมทรงกระบือ อายุความเก่าแก่ตามที่นักโบราณคดีประมาณการเอาไว้ก็น่าจะราวๆ 1,000 ปี ร่วมสมัยกับ นครวัต นครธม รวมทั้งปราสาทหินพนมรุุ้ง ที่คนไทยเคยทวงเอาทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ จากสหรัฐฯ มาคืนไว้เมื่อ 30 กว่าปีก่อน
ส่วนทับหลังอีกชิ้นก็เคยติดตั้งอยู่ที่ “ปราสาทเขาโล้น” อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เป็นศิลปะเขมร ยุคลพบุรี ลวดลายพระอินทร์เหนือเกียรติมุข อายุราวๆ 900 ปี
ทับหลังทั้งสองชิ้นนี้ คาดว่า หายไปจากประเทศไทย ในช่วงปี 2509-2511 ในยุคสงครามเวียดนาม ไม่ปรากฏรายงาน หรือบันทึกเกี่ยวกับการสูญหาย แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือพวกโจรกรรมวัตถุโบราณส่งขายให้พวกเศรษฐีนักสะสมของหายาก ต่อมาได้ปรากฏทับหลังทั้งสอง อยู่ในฐานข้อมูลโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย (Asian Art Museum) เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงเกิดการตามล่ามหาสมบัติทางวัฒนธรรมทั้ง 2 ชิ้น กลับมาสู่ประเทศไทยให้ได้
จนกระทั่งวันที่ 1 ก.พ. 61 กรมศิลปากรได้ส่งข้อมูลให้กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ประสานกับหน่วยงานในสหรัฐอเมริกา นำเรื่องขึ้นพิจารณาในชั้นศาล จนในที่สุดพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย ยอมรับว่า ทับหลังทั้งสองเป็นกรรมสิทธิ์ของไทย และยินยอมให้ยึดเพื่อส่งกลับคืนประเทศไทย
หลังจากทับหลังทั้งสองมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ และเคลื่อนย้ายมายังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ก็จะมีพิธีบวงสรวงต้อนรับ และดำเนินการตรวจสอบโบราณวัตถุ และจะจัดแสดงในนิทรรศการให้ประชาชนเข้าชมเป็นเวลา 3 เดือน ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร หลังจากนั้น จะมีการพิจารณาหาสถานที่จัดเก็บรักษาที่เหมาะสมต่อไป
เรื่องราวก็น่าจะจบลงด้วยความยินดีปรีดาของทุกฝ่าย แต่ว่าดรามามันก็มาเกิดอันเนื่องจาก “พิธีบวงสรวง” ต้อนรับทับหลัง ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏภาพ “อิทธิพล คุณปลี้ม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะประธานในพิธีบวงสรวง รวมทั้งพราหมณ์ผู้ทำพิธี ได้ประพรมน้ำอบลงบนแผ่นทับหลัง ตามขั้นตอนของพิธีพราหมณ์ แล้วมีเพจสายธรรมะ ที่ชื่อ “พุทธที่แท้จริง” ได้โพสต์ภาพ ขณะรัฐมนตรีพรมน้ำอบใส่ทับหลังจนเปียกชุ่ม และเจ้าหน้าที่กรมศิลปกรนำผ้ามาเช็ดน้ำออก พร้อมข้อความเชิงเหน็บแนมทำนองว่า “ทับหลังถูกพรากจากประเทศไป 50 ปี ยังกลับมาด้วยสภาพที่สมบูรณ์แบบ เพราะความเจริญด้วยปัญญาและเทคโนโลยีของประเทศเขา แต่กลับมาเมืองไทยไม่กี่วัน เจอพิธีเขลาๆ ไปเท่านั้นแหละ”
ความเห็นของชาวเน็ตที่เข้ามาคอมเมนต์ ส่วนใหญ่ก็ออกไปในทางตำหนิตัวรัฐมนตรี เพราะเห็นว่าการพรมน้ำอบใส่ทับหลังที่มีอายุเก่าแก่อาจจะทำตัวทับหลังให้พังเสียหายได้ง่ายขึ้นหรือไม่ แล้วก็การทำพิธีเพื่อเอาหน้าแบบนี้ จำเป็นต้องทำหรือเปล่า
แต่อีกส่วนหนึ่งก็เห็นว่า ในอดีตทับหลังทั้งสองชิ้นก็เคยตากแดดตากฝนอยู่ข้างองค์ปราสาทมาเป็นร้อยเป็นพันบี แค่โดนน้ำเข้าไปอีกหน่อยจะเป็นอะไรไปเชียวหรือ แล้วจะว่าไปทับหลังทั้งสองก็ถูกสร้างขึ้นตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดู การทำพิธีพราหมณ์เพื่อบวงสรวงต้อนรับ ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ก็เอาเป็นว่า เรื่องนี้ จะถูกผิดอย่างไร คงต้องให้ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโบราณวัตถุมาชี้ขาดอีก แต่ที่แน่ๆ ถ้าเกิดความเสียหายต่อองค์ทับหลังขึ้นมา ท่านรัฐมนตรีวัฒนธรรม ต้องรับไปเต็มๆ อยู่แล้ว