วันนี้ (5 พ.ค.)นายธวเดช ภาจิตรภิรมย์ หัวหน้ากลุ่มแนวทางใหม่ กล่าวถึงกระแสข่าวเตรียมให้ยาฟาวิพิราเวียร์แก่ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามทันทีตั้งแต่วันแรกโดยไม่ต้องรอการบ่งชี้ทางการแพทย์ หากมีการดำเนินการดังกล่าวจริงถือเป็นเรื่องที่ผิดหลักการอย่างมาก เพราะยาฟาวิพิราเวียร์ไม่จำเป็นต้องใช้กับผู้ที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อยแต่มีความสำคัญมากต่อผู้ป่วยโควิดที่เสี่ยงว่าเชื้ออาจลงปอด ซึ่งต้องผ่านดุลพินิจทางการแพทย์เป็นผู้ประเมิน ซึ่งขณะนี้มีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และหากจำเป็นต้องใช้ยาในแต่ละเคสที่มีอาการหรือมีความจำเป็นต้องป้องกันก็จะต้องใช้ยาจำนวนหลายเม็ด จะไปแจกจ่ายเป็นขนมไม่ได้
นายธวเดช กล่าวต่อว่า ไม่ควรมองสถานการณ์ระบาดครั้งนี้อย่างคับแคบโดยเห็นแค่กรุงเทพเท่านั้น ต้องมองคนทั้งประเทศด้วย การระบาดระลอก 3 เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ทางใต้บ้านของตนก็ต้องการยาที่กระจายลงมาเพื่อให้หมอมีอาวุธในการสู้กับเชื้อโรคเพื่อรักษาชีวิตให้ได้ แต่หากแจกแบบหว่านแห ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นการฉวยโอกาสเอายาที่ใช้ช่วยชีวิตคนมาหาเสียงโดยไม่เห็นหัว ไม่แคร์ชีวิตคนทั้งประเทศหรือไม่ แต่ถ้าแจกเฉพาะคนกรุงเทพที่อยู่ในโรงพยาบาลสนามทั้งที่บางคนไม่มีความจำเป็นหรือยังแข็งแรง ก็เท่ากับต้องเสียยาที่จำเป็นต่อการยื้อชีวิต ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ใช่ยาที่ผลิตเองในประเทศได้ ต้องนำเข้ามา ก่อนหน้านี้ก็เกือบขาดแคลน หากยากล็อตนี้หมดไปก่อนล็อตใหม่จะเข้ามาเพราะสั่งการมั่วๆก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์วิกฤตและอาจเกิดความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรเกิดได้
“ข้อมูลจากกลุ่มแพทย์ชนบทเองก็เตือนว่า ปัจจุบันยามีอยู่เพียง 2 ล้านเม็ด ใช้ได้ไม่เกิน 4 หมื่นคนเท่านั้น แต่ตอนนี้สถานการณ์วิกฤตขึ้นเรื่อยๆ ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละเป็นพันหรือเกือบสองพันคน และมีเคสเกิดขึ้นทั่วประเทศ การแจกยาแบบนี้จะยิ่งทำให้เกิดภาวะขาดแคลนยา หรือดื้อยา และอาจเกิดปัญหาตามมาได้ ที่สำคัญก็คือสถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว การบริการไม่ควรต่างคนต่างทำ รัฐบาลเองก็ยึดอำนาจมาไว้ตรงนายกรัฐมนตรีเกือบหมดแล้ว ทำไมจึงปล่อยให้ผู้ว่ากรุงเทพฯไปบริหารจัดการสถานการณ์ผิดๆได้ ต้องรีบกำกับแก้ไขโดยด่วนก่อนสถานการณ์จะสายเกินไป” หัวหน้ากลุ่มแนวทางใหม่ กล่าว