“คุณหญิงสุดารัตน์” ควงครอบครัวทำบุญใส่บาตร-มอบอุปกรณ์สู้โควิดลงชุมชน กทม. โอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 60 ปี เสนอ 3 ข้อสู้โควิด เลิกบังคับ รพ.รับแอดมิด แนะตั้งงบ 1.6 พันล้าน ตรวจเชิญรุก 1 ล้านคน ตั้งศูนย์คัดกรองทุกเขต สวด “บิ๊กตู่” รวบอำนาจ ตลกใช้ฝ่ายความมั่นคงคุมแทนหมอ
วันนี้ (1 พ.ค. 64) ที่บ้านพักย่านลาดปลาเค้า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย พร้อมครอบครัว ได้ใส่บาตรทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 60 ปี ซึ่งปีนี้คุณหญิงสุดารัตน์ได้ขอความร่วมมืองดการเข้าอวยพร และงดรับของขวัญ
จากนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ และทีมงานพรรคไทยสร้างไทย ได้ร่วมกันมอบตะกร้าสำหรับมอบให้บ้านที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประกอบด้วย ข้าวสารอาหารแห้ง พร้อมยาสามัญประจำบ้าน 2,000 ชุด, หน้ากากอนามัย 200,000 ชิ้น, น้ำยาฆ่าเชื้อ จำนวน 200 แกลลอน, เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และถุงขยะสีแดงเพื่อใส่ขยะติดเชื้อ ให้ทีม กทม.ไทยสร้างไทยแต่ละเขต เพื่อนำไปช่วยดูแล และป้องกันโควิดให้ประชาชนในพื้นที่ กทม.
คุณหญิงสุดารัตน์ ได้กล่าวถึงปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนี้ที่มีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อสูงขึ้นเรื่อยๆ ว่า สิ่งที่ควรทำเร่งด่วนในตอนนี้มีอยู่ 3 เรื่อง คือ 1. เสนอให้มีการแก้ไขระเบียบ ยกเลิกข้อกำหนดที่บอกว่าตรวจเจอที่โรงพยาบาลใด โรงพยาบาลนั้นต้องรับรักษา เนื่องจากพิสูจน์แล้วว่า มันทำให้เกิดปัญหาตามมา ควรยกเลิกระเบียบที่กำหนดให้บุคคลจะเข้ารับการรักษาได้ต้องตรวจเจอเชื้อเสียก่อน เพราะคือสาเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ เนื่องจากกว่าคนจะรอคิวเข้าตรวจเชื้อต้องรอหลายวัน เข้ารับการตรวจแล้วต้องกลับไปรอผลที่บ้านอีกกว่าจะรู้ผล รู้ผลก็ต้องรอเตียงว่างอีก จึงจะได้รับการรักษา ทำให้มีการแพร่กระจายเชื้อในชุมชน เป็นจำนวนมาก และทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนัก และเสียชีวิตสูงมากขึ้น นอกจากนี้ ควรมีการกระจายงบประมาณให้โรงพยาบาลบริหารจัดการตัวเองด้วย
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า 2. ควรเปิดศูนย์กลางคัดกรองผู้ป่วยทุกเขตใน กทม.ทุกเขตทั้ง 50 เขต และทุกตำบลในต่างจังหวัด ใครก็ตามที่รู้สึกเจ็บป่วย แม้ยังไม่ทราบผลตรวจให้มาที่ศูนย์เพื่อคัดกรองเข้าสู่ระบบ ไม่ใช่ตรวจแล้วกลับไปรอที่บ้าน และการกลับไปรอที่บ้าน มันทำให้เกิดการแพร่กระจายในชุมชน ซึ่งขณะนี้เป็นแบบนี้ในหลายชุมชน และ 3. รัฐบาลควรเร่งเรื่องของการตรวจเชื้อโควิดให้ได้มากที่สุด ควรมีการตรวจเชิงรุกมากกว่านี้ เพราะปัจจุบันมีการตรวจเชิงรุกในแต่ละวันแค่หลักสิบเท่านั้น หากมีคนมาตรวจมากอาจทำให้จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจจะดูสูงขึ้น ก็ถือว่านำคนติดเชื้อเข้าสู่ระบบได้มาก ประชาชนก็จะปลอดภัยเพราะคนติดเชื้อเข้ามาอยู่ในระบบ ไม่ปะปนอยู่ในชุมชน
“ขอเสนอให้ตั้งงบประมาณ 1,600 ล้านบาท เพื่อปูพรมตรวจ 1 ล้านคน ในทุกพื้นที่ โดย สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ได้ตั้งงบประมาณค่าตรวจให้ 1,600 บาทต่อหัว จากนั้นให้ตรวจได้เลยทุกโรงพยาบาล ตรวจเสร็จก็นำเข้าระบบทันที แบบนี้ก็จะหมดปัญหา เรื่องของการรอเตียงและรอตรวจ” คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุ
คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควบรวมอำนาจการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไว้แต่เพียงผู้เดียวว่า การบริหารจัดการของรัฐบาลเป็นปัญหาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่การระบาดในรอบแรก คือ มีการรวมศูนย์อำนาจไว้ในส่วนกลาง มีการตั้งศูนย์เกิดขึ้นมากมาย ไม่กระจายงบประมาณ และอำนาจไปสู่โรงพยาบาลซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติ ทั้งที่การบริหารในช่วงวิกฤต ต้องทำให้การสั่งการสั้นที่สุด กระชับที่สุด แต่กลับตั้งศูนย์ต่างๆ ขึ้นมาเยอะแยะไปหมด
“สิ่งที่แปลกใจมากกว่านั้น คือ เอาฝ่ายความมั่นคงมาสู้รบกับเชื้อโรค ในความจริงควรจะให้หมอเข้ามาดำเนินการ เมื่อมีการตั้งศูนย์ขึ้นมาหมายในรัฐราชการไทย ก็ทำให้เกิดความเห็นที่ไม่ตรงกัน เกิดความสับสนในข้อมูลอย่างที่ผ่านมา” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า เมื่อนายกรัฐมนตรี รวบอำนาจมาไว้เพียงคนเดียว ก็ต้องรับทั้งผิดและชอบด้วย คือ เมื่อรวบอำนาจมาแล้ว ต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่ส่วนตัวคิดว่าควรจะมีการปรับการบริหารจัดการ ที่ผ่านมา รวมศูนย์อำนาจมาปีกว่า แต่บริหารจัดการไม่ได้ ก็เลยควบคุมการระบาดไม่เบ็ดเสร็จแบบนี้ วันนี้ประชาชนต้องการคนที่สร้างความเชื่อมั่น สร้างความมั่นใจ ผู้นำที่ดีต้องมีแผนงานและเลือกคนที่เหมาะสมกับงาน แบ่งหน้าที่อย่าให้ซ้ำซ้อน วิธีการสั่งการต้องสั้นที่สุด กำหนดระยะเวลาการดำเนินการให้สั้นที่สุด
หลังจากนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ได้นำทีม กทม. พรรคไทยสร้างไทย ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด ที่ชุมชนโรงน้ำแข็ง เขตลาดพร้าว กทม.ด้วย