ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ดรามาร้อนแรงทั้งวัน “ลุงตู่การ์ดตก” ไม่ใส่มาสก์ในที่ประชุม ถือว่าพลาดทั้งตัวลุงตู่เอง และทีมงานที่นำภาพโพสต์ขึ้นโซเชียลฯใส่มาสก์ไว้ใต้คาง เหมือนสวมถุงยางที่หัวแม่มือ !!...นั่นเป็นคำพูดเตือนใจในเชิงเปรียบเปรยเมื่อครั้งโควิดระบาดรอบก่อน ว่าใช้อุปกรณ์ป้องกันผิดที่ผิดทาง มันจะไปป้องกันอะไรได้
แต่โควิดระบาดรอบนี้ “ใครไม่ใส่มาสก์ถูกปรับ 2 หมื่น” เพราะจังหวัดต่างๆ ค่อนประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ได้ออกมาตรการ “บังคับ” ว่าเวลาออกนอกบ้านใครไม่ใส่มาสก์ถือเป็นความผิด โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เพิ่งออกประกาศเมื่อวันที่ 25 เม.ย. และให้มีผลในวันที่ 26 เม.ย.
ฟังดูเหมือนเป็นการ “ขู่” เพราะหลายคนคิดกันว่าเจ้าหน้าที่คงไม่จับปรับ ถ้าพบเจอก็น่าจะแค่ตักเตือนกันมากกว่า... แต่ก็มีข่าวจับ ปรับออกมาแล้ว เป็นพ่อค้าขายกะทิ ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ในโซเชียลฯ อ้างว่าเป็นการจับกุมขณะอยู่ในรถ จนเกิดดรามาว่าเกินไปหรือเปล่า...
เรื่องนี้ ทำเอาทางตำรวจต้องออกมาชี้แจงว่า กรณีดังกล่าว ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 ต.บางนางร้า อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับร้องเรียนว่าที่ตลาดบางปะหันมีพ่อค้าขายกะทิไม่สวมมาสก์ จึงไปตรวจสอบพบนายปกรกฤช รุมรัตน์ และนายกิตติศักดิ์ รุมรัตน์ ไม่สวมหน้ากากอนามัยจริง จึงพาตัวมาพบพนักงานสอบสวน สภ.บางปะหัน แจ้งความผิดตามคำสั่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบมาตรา 51 พ.ร.บ.โรคติดต่อ อัตราโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่พนักงานสอบสวนปรับไปเพียงคนละ 500 บาท เพราะเป็นการกระทำผิดครั้งแรก
เมื่อมีการจับจริง เลยเกิดดรามาในโซเชียลฯ เป็นคำถามต่อไปว่า ถ้าไม่ใส่มาสก์ กรณีไหนผิด กรณีไหนไม่ผิด ขณะขับรถคนเดียว หรืออยู่กับคนในครอบครัว ผิดหรือไม่ หรือเด็กเล็กไม่ใส่มาสก์ผิดหรือไม่
“ศิลปสวย ระวีแสงสูรย์” ปลัด กทม. ได้ออกมาไขข้อข้อใจในเรื่องนี้ว่า ประกาศที่ กทม.ออกมาว่าต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าทุกครั้งตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถาน หรือสถานที่พำนักนั้น เจตนาเพื่อป้องกันการติดต่อของโรคจากบุคคลไปสู่บุคคล การอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในอาคาร หรือที่ต่างๆ จะต้องสวมหน้ากาก สำหรับในที่สาธารณะต้องใส่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรือไม่ เพราะบุคคลอื่นอาจมาใช้สถานที่นั้นต่อ
กรณีที่อยู่ในรถ เมื่อมีบุคคลอื่นร่วมอยู่ในรถด้วย ต้องสวม ไม่ยกเว้นแม้เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และกรณีนั่งคนเดียวจึงอนุโลมได้ว่าไม่ต้องใส่ แต่ถ้าจะให้ดี ควรใส่ เพราะคนอื่นอาจขึ้นรถมาในภายหลังได้
นอกจากนี้ ยังยกตัวอย่างกรณีอยู่ในสถานที่ปิด ในห้องประชุม แม้กระทั่งกรณีของผู้ประกาศข่าว ผู้จัดรายการในสตูดิโอ ก็ต้องใส่ เพราะถือว่าสตูดิโอ เป็นสถานที่นอกเคหสถาน และสถานที่พำนักตามประกาศดังกล่าว อีกทั้งเป็นสถานที่มีผู้ปฏิบัติงานรวมกันมากกว่า 1 คน เป็นห้องปิด ซึ่งจะมีผู้เข้ามาใช้งานต่อเนื่อง จึงอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องสวมมาสก์
ที่สำคัญคือ ผู้ประกาศข่าวเป็นบุคคลสาธารณะ ที่จะมีภาพปรากฏต่อสาธารณชนทั่วไป จึงควรเป็นภาพที่สวมใส่หน้ากากเพื่อแบบอย่างในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดมีความรุนแรง
ส่วนกรณีเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 2 ขวบ ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้สวมหน้ากาก เพราะเด็กยังไม่รู้วิธีที่จะถอดหน้ากากออก และอาจขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิตได้ จึงเข้าข่ายอนุโลม แต่ให้หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในสถานที่แออัด หรือพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด
ระหว่างที่เป็นกระแสดรามาในโซเชียลฯ ก็มีคนตาดี เห็นภาพ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ไม่ใส่มาสก์ขณะที่มีการประชุมทีมที่ปรึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด และการจัดหาวัคซีน โดยผู้ร่วมประชุมตามภาพที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็น นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน, นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง, นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ที่ปรึกษา ศบค. และคนอื่นๆ ล้วนใส่มาสก์ มีเพียง “ลุงตู่” ที่นั่งหัวโต๊ะเพียงคนเดียวที่ไม่ใส่
เป็นการประชุมในวันที่ 26 เม.ย. ที่ประกาศ กทม.มีผลบังคับใช้แล้ว งานนี้ “ทัวร์ลง” กระหน่ำที่ลุงตู่ทันใด ... ทีมงานต้องรีบลบภาพดังกล่าวออก เหลือเพียงผลการประชุมเท่านั้น
เมื่อเกิดเรื่องขึ้น “ลุงตู่” จึงได้สอบถามไปยัง “ผู้ว่าฯ อัศวิน ขวัญเมือง” ผู้ว่าฯ กทม.ว่าเป็นความผิดหรือไม่ คำตอบคือ “ผิด” เพราะฝ่าฝืนประกาศ กทม. ผิด พ.ร.บ.โรคติดต่อ
ทางผู้ว่าฯ อัศวิน พร้อมด้วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต จึงเดินทางไปที่ทำเนียบฯ แจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งลุงตู่ก็ยอมรับผิด พนักงานสอบสวนจึงเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 6,000 บาท
ดรามาในโซเชียลฯ ยังไม่จบ เพราะชาวเน็ตเห็นว่าคนเป็นผู้นำประเทศ แต่ “การ์ดตก” เสียเอง ควรต้องปรับในอัตราสูงสุด 2 หมื่นบาท ไม่ใช่ปรับแค่ 6,000 บาท
“ผู้ว่าฯ อัศวิน” เลยต้องออกมาชี้แจงอีกครั้งว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อนั้น มีบัญชีแนบท้ายเรื่องอัตราการเปรียบเทียบปรับว่า หากเป็นความผิดครั้งแรก ปรับสูงสุด 6,000 บาท หากยังทำผิดเป็นครั้งที่ 2 ปรับเพิ่มเป็น 2 เท่า คือ 12,000 บาท หากทำผิดตั้งแต่ครั้งที่ 3 เป็นต้นไป จึงปรับเต็มอัตราสูงสุด คือ 20,000 บาท
จะว่าไปแล้ว ถือว่า “พลาด” ทั้งตัวลุงตู่เองที่อาจเผอเรอ ดูเบาคิดว่าตัวเองไม่ติดเชื้อ คงไม่ต้องใส่มาสก์ รวมทั้งทีมงานก็ไม่กลั่นกรองตรวจสอบภาพให้ดีก่อนนำไปโพสต์ในโซเชียลฯ จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
หลายคอมเมนต์ มองว่า “ลุงตู่” ติดประมาท...เพราะโควิด “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ระบาดตั้งแต่ช่วงก่อนสงกรานต์ แต่ลุงตู่ก็ไม่ออกคำสั่งระงับการเดินทาง หรือมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดเหมือนกับการระบาดในครั้งแรก .. แต่ปล่อยให้ทางจังหวัดต่างๆ กำหนดมาตรการกันเอง แถมบอกว่า “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” ...ปรากฏว่าหลังสงกรานต์โควิดระบาดไปทั่วประเทศ ยิ่งมาเห็นภาพลุงตู่ไม่ใส่มาสก์ในที่ประชุม จึงได้ระบายอารมณ์กระหน่ำ
ท้ายนี้ก็อยากจะยกข้อความเตือนใจของคนในวงการครู ที่คนในวงการอื่นๆ จะนำไปใช้ด้วยก็ไม่ผิดกติกาว่า...ครูที่ดีนั้นไม่ใช่แค่รู้จักสอนคน แต่ต้องรู้จักสอนตนด้วย!!
**“มาดามแป้ง” ลุยนำ“ครัวมาดาม” อาสาส่งข้าวกล่อง รพ.สนาม, รพ.รัฐ ช่วยบุคลากรทางการแพทย์
ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตโควิดระลอกใหม่ ต้องบอกว่าบุคคลากรทางการแพทย์เป็นกลุ่มคนที่ต้องทำงานกันหนักหน่วง สุ่มเสี่ยง และเสียสละให้แก่สังคมอย่างน่าชื่นชม
นอกจากกำลังใจส่งถึงกัน มีการให้ความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ให้ห้วงเวลาที่ยากลำบากนี้แบบ “ปิดทองหลังพระ” จากหลายๆ ภาคส่วน และหนึ่งในนี้ก็ต้องพูดถึง “ครัวมาดาม” ภายใต้มูลนิธิมาดามแป้ง “นวลพรรณ ล่ำซำ” ที่ตั้งครัวชุมชนส่งข้าวกล่องผ่านกลุ่มอาสากล้าใหม่ไปยัง 19 พื้นที่ทั่วประเทศ เช่น พระนครศรีอยุธยา, นครราชสีมา, ภูเก็ต, เชียงใหม่, นราธิวาส ฯลฯ
เห็นว่า “ครัวมาดาม” ทำงานส่งข้าวกล่องให้ทีมแพทย์มาต่อเนื่องกว่าสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 กลับมาระบาดระลอกที่ 3 ซึ่งเดิมวางเป้าหมายตั้งครัวถึงสิ้นเดือน เม.ย.นี้ แต่ด้วยสถานการณ์ที่แย่ลง ทำให้มีโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้นมาก และบุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานหนักขึ้น มูลนิธิฯ จึงมีแผนขยายเวลา และขยายพื้นที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนช่วงวิกฤตให้มากที่สุด
งานนี้ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการ มูลนิธิมาดามแป้ง โต้โผใหญ่ เชื่อว่าน้ำใจแห่งความตั้งใจนี้จะเป็นพลังให้คุณหมอที่ทำหน้าที่อย่างหนักในทุกๆ วัน ซึ่งภารกิจของยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะยังต้องทำต่อไปตามเป้าหมาย คือ 28,500 กล่องในสิ้นเดือน เม.ย.นี้ แต่จากการประเมินสถานการณ์และแนวโน้มที่ทวีความรุนแรงขึ้น คณะกรรมการมูลนิธิฯ จึงกำลังวางแผนการขยายระยะเวลาทำครัวมาดามออกไปอีกเพื่อแบ่งเบาภาระของคุณหมอ อีกทั้งยังมีความเห็นว่าควรปรับและขยายพื้นที่ความช่วยเหลือออกไปอีก โดยขอเชิญชวนคนไทยทุกคนมาช่วยกัน นอกจากการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยง อันจะเป็นการช่วยป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ และหากคนเราแข็งแรง และมีกำลัง ก็สามารถเอากำลังกายและใจนั้นออกมาแบ่งปันช่วยเหลือกันต่อไป
ใครที่อยากร่วมเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางแพทย์ ผ่านกิจกรรม “ครัวมาดาม” ด้วยการส่งข้าวกล่องเติมพลังให้ด่านหน้าผู้เสียสละในทุกวัน ด้วยการร่วมบริจาคสมทบทุน กล่องละ 50 บาท เลขบัญชี 092-2-61340-0 ธ.กสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้กันได้เลย
เชิญชวนร่วมด้วยช่วยกันคนละไม้คนมือฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน