“รสนา” เรียกร้องรัฐบาล อย่าปล่อยให้อาสาสมัครสาธารณสุข และ อาสาสมัครชุมชนในกรุงเทพฯ กลายเป็นชาวบ้านบางระจัน ที่ต้องสู้ศึกโควิด-19 อย่างโดดเดี่ยว โดยไร้การสนับสนุนจากรัฐบาล แนะ กทม.ใช้ศักยภาพของ อสส.และ อสช.ที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพเพื่อหยุดยั้งการแพร่เชื้อโดยเร็ว
เมื่อเวลา 00.05 น. วันที่ 25 เม.ย. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และผู้เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ รสนา โตสิตระกูล ว่า อย่าปล่อยให้ อสส.และ อสช.ในกรุงเทพฯกลายเป็นชาวบ้านบางระจัน สู้ศึกโควิดอย่างโดดเดี่ยว ไร้รัฐสนับสนุน
เคลื่อนทัพพลเมืองไทยตื่นรู้สู้ภัยโควิด-19 ด้วยฟ้าทะลายโจรวันนี้ (24 เม.ย. 2564) เดินสายกระจายยาฟ้าทะลายโจรผ่าน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) ใน กทม. และ อสช.(อาสาสมัครชุมชน) รวม 65 ศูนย์ โดยกระจายยาทั้งสิ้นจำนวน 3,900 กระปุก เท่ากับ 234,000 แคปซูล ซึ่งพอจะช่วยเหลือประชาชนที่เจ็บป่วยด้วยอาการไข้ได้ประมาณ 3,900 คน ดังที่ทราบกันดีว่า จำนวนผู้ป่วยโควิดระลอก 3 นั้น กว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของการระบาดไปโดยปริยาย และมีประชาชนในเขต กทม.จำนวนไม่น้อยที่อาจติดเชื้อ แต่ตกหล่นการตรวจเชื้อ เพราะระบบและทรัพยากรยังไม่สามารถรองรับการตรวจผู้ติดเชื้อเชิงรุกได้อย่างรวดเร็ว และจำนวนไม่น้อยแม้ตรวจแล้วพบว่าติดเชื้อ ก็ไม่มีเตียง รพ.หรือ รพ.สนามรองรับ เมื่อกักตัวอยู่บ้านก็ทำให้สมาชิกในบ้านติดเชื้อไปด้วย ซึ่งอาจทำให้มาตรการควบคุมโรคล้มเหลวในที่สุด ฉุดการแพร่ระบาดโรคไม่อยู่
ดิฉันขอขอบคุณประธานอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพฯ (อสส.กทม.)และหัวหน้าทั้ง 64 ศูนย์ที่มารับยาฟ้าทะลายโจร ซึ่งในพื้นที่ 50 เขตของ กทม.มีทั้งหมด 69 ศูนย์ จึงถือได้ว่าโครงการนำร่อง กระจายยาวันนี้ทำได้ครอบคลุมเกือบ 100% และในช่วงนิเทศการคัดกรอง, การบันทึกและแนะนำการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ได้รับความสนใจอย่างมาก ได้เห็นความตั้งใจของ อสส.กทม.และ อสช.ในการทำงานดูแลประชาชนโดยเฉพาะคนจนๆ ที่ยังมีอยู่มากมายในสังคม อย่างเช่น ในเขตสวนหลวง มีคนจนที่ป่วยเป็นจำนวนมาก และในเขตหนองแขม ก็มีผู้ป่วยไปตรวจแล้วผลออกมาว่าติดเชื้อ แต่ไม่มีเตียง ซึ่งเป็นกรณีน่าเป็นห่วงว่าจะทำให้ติดเชื้อทั้งบ้านได้ และอาจจะเกิดความทุกข์ยาก ความลำบากทั้งการกินการอยู่ คนส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำ เมื่อติดเชื้อ จะอยู่กันอย่างไร ล้วนเป็นคนที่ตกหล่นจากระบบการดูแลของรัฐส่วนกลาง และ กทม. ที่เข้าใจดีว่ามีภาระล้นมือ และหากไม่มีระบบการดูแลที่อาศัยพลังความร่วมมือของภาคพลเมืองที่ตื่นรู้ ก็ยากจะหยุดการแพร่กระจายเชื้อที่เป็นอยู่ในขณะนี้
อยากให้ กทม.ได้ใช้ศักยภาพของอาสาสมัครสาธารณสุข และอาสาสมัครชุมชน ที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพเพื่อหยุดยั้งการแพร่เชื้อโดยเร็วที่สุด โดยจัดหายาฟ้าทะลายโจร อุปกรณ์ป้องกันดูแลตัวเอง มาช่วยดูแลประชาชนใน กทม.ช่วยคัดกรองผู้ป่วยที่อาการน้อย และอาการปานกลาง อย่าให้ลุกลามเพียบหนักจนเสียชีวิต หรือเป็นภาระในระบบสาธารณสุข
อย่าปล่อยให้บุคลากรเหล่านี้เหมือนชาวบ้านบางระจัน ที่พร้อมต่อสู้ป้องกันเมือง แต่เพราะรัฐบาลไม่สนับสนุนอาวุธในการสู้ศึก ต้องสู้จนตัวตาย และลุกลามจนเสียกรุงในที่สุด