วันนี้ (23 เม.ย.)นายธวเดช ภาจิตรภิรมย์ หัวหน้าพรรคแนวทางใหม่ กล่าวว่า การระบาดของโควิด 19 ระลอก 3 ส่งผลสะเทือนหนักมาก ด้านสาธารณะสุขคงต้องประคองสถานการณ์ไปจนกว่าจะมีวัคซีนมาฉีดได้อย่างครอบคลุม ซึ่งอย่างเร็วที่สุดคงเป็นปลายปีนี้ตามแผนการเพิ่มวัคซีนของภาครัฐล่าสุดและนั่นคงเป็นภาพใหญ่ของการฟื้นกลับมาของภาคธุรกิจด้วย อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้มีคนอีกจำนวนมากที่เหมือนลอยคออยู่กลางทะเล หมดแรงเมื่อไหร่ก็อาจจมลงก่อนถึงฝั่ง อยากภาครัฐเร่งออกเรือไปช่วยกู้ชีวิตเขาบ้าง
“การที่รัฐบาลได้ออกมาตรการควบคุมการแพร่กระจายของโควิด ด้านหนึ่งคือการชะลอไม่ให้ระบบสาธารณสุขไทยล่มสลาย แต่อีกด้านหนึ่งก็ส่งผลกระทบต่อคนเล็กคนน้อยและผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก เช่น ร้านอาหาร ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวต้มข้างทาง หรือร้านอาหารโต้รุ่ง ในพื้นที่สีแดงถูกจำกัดเวลาการขายที่หดสั้นลงมาก ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจบันเทิงหรือกลุ่มผับบาร์ต้องหยุดกิจการไปทั้งหมดซึ่งต้องมองถึงผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกคลื่นไปยังหน่วยที่ย่อยกว่านั้น เช่น แคชเชียร์ พนักงานเสริฟ นักร้อง นักดนตรีด้วย แต่มาตรการช่วยเหลือเยียวยาที่ออกมาจะเห็นว่ายังไม่ชัดเจน เป็นเพียงการขยายเวลาบางโครงการเท่านั้น เช่น โครงการเราชนะและเรารักกัน นอกจากนี้ ยังเป็นเพียงการเพิ่มวงเงินสำหรับการขยายคลุมไปยังกลุ่มผู้มีสิทธิรับความช่วยเหลือที่มากขึ้น แต่ยังไม่ได้เป็นการตั้งงบประมาณก้อนใหม่เข้าไปช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรอบนี้อย่างชัดเจน”นายธวเดช กล่าว
นายธวเดช กล่าวว่า จากการติดตามข้อมูล เช่น กรณีของกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร พบว่า หลังเกิดการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ยอดขายลดลงถึง 70 % เนื่องจากร้านอาหารไม่สามารถรองรับลูกค้าได้เต็มร้อยเหมือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังดีกว่าใช้มาตรการล็อกดาวน์หรือเคอฟิวส์ เพราะอย่างน้อยก็ยังสามารถมีเงินเข้ามาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม จากการที่พวกเขาต้องเผชิญเหตุการณ์เปิดปิดแบบนี้หลายครั้งทำให้มีผลกระทบสะสม เช่นหนี้สิน จึงมีเสียงอ้อนวอนมากจากผู้ประกอบการรายย่อยว่า ในสถานการณ์ที่รายได้ลดลงมากนี้ อยากให้ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือเกี่ยวกับหนี้สิน เช่น การหารือกับธนาคารในการกำหนดมาตราการพักต้นพักดอกจริงๆ ไม่ใช่พักต้นแต่ดอกเบี้ยยังเดิน รวมไปถึงการทำให้พวกเขาเข้าถึงแหล่งทุนเงินกู้ได้บ้าง เพราะมาตรการซอฟท์โลนหรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่ออกมาเป็นปีแล้ว ยังมีเพียงลูกหนี้ชั้นดีหรือลูกหนี้ปกติของธนาคารเท่านั้นที่เข้าถึงได้ ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงเงินก้อนนี้ได้เลย ตนจึงขอเป็นเสียงสะท้อนไปถึงรัฐบาลว่าควรเร่งแก้ไขจุดบกพร่องนี้เสียที เพราะผู้ประกอบการรายย่อยก็คือเศรษฐกิจรากฐานของประเทศ รัฐบาลได้ปล่อยลอยคอพวกเขาเนิ่นนานจนพวกเขาเกือบหมดแรงพาลจะพากันจมน้ำตายไปหมดแล้ว