“ธนกร” แจง “เศรษฐา ทวีสิน” รัฐบาลมีไทม์ไลน์เร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างชัดเจน นายกฯ ทุ่มเททำงานหนักแก้ปัญหา ขอบคุณที่หวังดีเสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์ ดีกว่าฝ่ายค้านเอาแต่ด่าเช้ากลางวันเย็น คอยติทุกเรื่อง
วันนี้ (21 เม.ย.) นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนว่า ช่วงหลังนายเศรษฐาออกมาให้ความเห็นบ่อยๆ แต่ยังดีกว่าฝ่ายการเมือง เพราะเป็นข้อเสนอแนะที่สุภาพ ส่วนจะหวังผลทางการเมืองหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ แต่ขอยืนยันกับนายเศรษฐาว่ารัฐบาลเร่งฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ โดยมีแผนการฉีดวัคซีนที่ชัดเจน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้ชี้แจงไปแล้ว ขณะนี้ไทยมีวัคซีนป้องกันโควิดเข้ามาจำนวน 2,117,000 โดส ได้มีการเร่งฉีดแล้ว และในวันที่ 24 เม.ย. วัคซีนซิโนแวคจะเข้ามาอีก 5 แสนโดส และเดือน พ.ค.วัคซีนซิโนแวคเข้ามา 1 ล้านโดส ส่วนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในไทยจะเริ่มทยอยส่งเดือน มิ.ย.4-6 ล้านโดส และเพิ่มจำนวนไปตั้งแต่ ก.ค.ไปจนถึงสิ้นปี 64 จะครบ 61 ล้านโดส นอกจากนั้นยังมีวัคซีนทางเลือกที่ให้ภาคเอกชนอีก 5-10 ล้านโดส ซึ่งน่าจะเพียงพอ ขอให้มั่นใจการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทุ่มเททำงานหนักมากเพื่อช่วยเหลือประชาชนแก้ปัญหาโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ตนขอขอบคุณในความหวังดีและข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ ซึ่งไม่เหมือนกับฝ่ายค้านที่โจมตีเช้ากลางวันเย็น โดยประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร
นายธนกรกล่าวอีกว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่ฝ่ายค้านสงสัย ออกมาตำหนิ โจมตีรัฐบาล เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์อธิบายอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม แผนการจัดหาและเร่งฉีดวัคซีนให้กับพี่น้องประชาชน การจัดหายาฟาริพิราเวียร์ รัฐบาลก็เตรียมแผนสำรองในการจัดหาไว้แล้ว เดือน เม.ย.-พ.ค.จัดหาเพิ่ม 2 ล้านเม็ด พ.ค-มิ.ย.1 ล้านเม็ด และ มิ.ย.-ก.ค.อีก 5 แสนเม็ด โดยจะสั่งซื้อให้มีสำรองในสต๊อก 3.5 ล้านเม็ดให้ได้เร็วที่สุด ทั้งนี้ อยากให้ฝ่ายค้านเพลาๆ การตำหนิติเตียนรัฐบาลลงบ้าง มาให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์จะดีกว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาของการเมือง แต่เป็นเวลาที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมแรงร่วมใจทำงานช่วยเหลือประชาชน นอกจากนั้น ครม.ยังได้อนุมัติโครงการเราชนะ โดยการขยายกลุ่มเป้าหมายและกรอบวงเงินของโครงการเพิ่มอีก 2.4 ล้านคน จำนวน 3,042 ล้านบาท รวมทั้งหมด 33.5 ล้านคน และขยายระยะเวลาใช้วงเงินสนับสนุนสำหรับผู้ได้รับสิทธิตามโครงการ จากสามารถใช้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 31 พ.ค. เป็นใช้จ่ายได้ไม่เกิน 30 มิ.ย. 64 เพราะฉนั้นขอให้เชื่อมั่นรัฐบาลว่าทำงานเป็นระบบ และขอให้เชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของไทย