“อดีตรองอธิการฯ มธ.” เตือน “ลุงตู่” ความเกรงใจเป็นเหตุรัฐบาลสะดุดขาตัวเอง “ดร.อาทิตย์” ชี้ ผับคริสตัล สะท้อน “วงจรโลกีย์” อย่างน่าอนาถ “พี่ศรี” ไม่พลาด ร้อง ป.ป.ช. เอาผิดจริยธรรม “รมต.- บิ๊ก ขรก. มท.” จัดชกมวยท้าทายโควิด
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (12 เม.ย. 64) เฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ของ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“เคยแสดงความเห็นหลายครั้งว่า คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ใช่คนโง่อย่างที่คนจำนวนมากเชื่อ เธอเพียงถูกยัดเยียดให้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างกะทันหัน ในสภาพที่ไม่มีความพร้อมด้วยประการทั้งปวง
เช่นเดียวกัน ก็ไม่เคยคิดว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนโง่ อย่างที่ม็อบ 3 นิ้วกล่าวหา ตรงกันข้าม ดูประวัติการเรียนแล้ว น่าจะเป็นคนฉลาดด้วยซ้ำ
อย่าคิดว่า การสอบได้ที่ 1 ระดับมัธยม สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร และเรียนจบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นเรื่องง่าย อยากถามคนที่ยืนชูป้ายว่านายกฯโง่เหมือนกันว่า เรียนอยู่ที่ไหน หรือจบอะไรมา และที่ว่านายกฯไม่มีวิสัยทัศน์ คนที่พูดรู้หรือไม่ว่า วิสัยทัศน์ที่แท้จริงคืออะไร
แต่ถ้าถามว่า พลเอก ประยุทธ์ เหมาะจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ต้องขอบอกตรงๆ ว่า ด้วยบุคลิก ด้วยวิธีการพูดจาในที่สาธารณะ ด้วยอาการหลุดที่เกิดบ่อยครั้ง ด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด ฉุนเฉียว พลเอก ประยุทธ์ เหมาะที่จะเป็น ผบ.ทบ.มากกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี
ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ทำไม พลเอก ประยุทธ์ เมื่อเป็นหัวหน้า คสช. ที่ทำรัฐประหารแล้ว ทำไมต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
พลเอก ประยุทธ์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่า ทั้งบุคลิกและการพูดจา ไม่มีทางที่จะเข้าตาเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เลย
ระหว่างเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคที่ตัวเองยึดอำนาจกลับมาเป็นรัฐบาลอีก หากมีการเลือกตั้ง ทำให้ คสช. ต้องพยายามประวิงเวลา และผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่บรรจุบทเฉพาะกาลให้สมาชิกวุฒิสภาไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง และมีอำนาจในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ใน 5 ปีแรก ยังดีที่มีการทำประชามติและผ่านมาได้
เมื่อใกล้เวลาที่จะต้องให้มีการเลือกตั้ง จึงได้ตั้งพรรคพลังประชารัฐขึ้นอย่างค่อนข้างกะทันหัน อาจเป็นเพราะเห็นว่า ไม่อาจฝากความหวังไว้ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้
สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นจุดอ่อนที่ต้องถูกฝ่ายที่แพ้ ที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลโจมตีซ้ำซาก ว่า พยายามสืบทอดอำนาจ และเป็นรัฐบาลเผด็จการแม้จะมาจากการเลือกตั้งก็ตาม
ไม่เพียงโจมตี แต่ยังเกิดม็อบ 3 นิ้วขับไล่ “เผด็จการ” ซึ่งเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าร่วมด้วยเป็นจำนานมาก เหตุผลหนึ่งก็เพราะความที่ไม่ชอบบุคลิกและการพูดจาของพลเอก ประยุทธ์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั่นเอง
ความจริงรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ น่าจะตกที่นั่งลำบาก หากพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า ไม่เล็งผลเลิศ ถือโอกาสเมื่อม็อบเริ่มจุดติด นำประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาเป็นเรื่องหลัก และหากม็อบ 3 นิ้ว ไม่มีพฤติกรรมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ผ่านมา
นับเป็นการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของพวกก้าวหน้า ก้าวไกล ด้วยเพิ่งประจักษ์ว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่พวกตนชอบใช้อ้าง เขายังจงรักภักดี และไม่เอาด้วยกับการไปแตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และเริ่มที่จะต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งชัดเจนมากเมื่อทราบผลการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นที่ผ่านมาทั้ง 2 ครั้ง ม็อบในระยะหลังจึงเริ่มซาลง
รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จึงทำท่าจะได้อยู่ต่อไป จนครบวาระ และดีไม่ดีอาจได้อยู่ต่อไปอีกสมัย หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า หากฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญโดยตัดอำนาจสมาชิกวุฒิสภาออก
ขณะนี้สิ่งที่จะสั่นคลอนรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ ได้ จึงไม่ใช่ม็อบ แต่เป็นความขัดแย้งกันเองภายในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเกิดจากการรวบรวมนักการเมือง หลากหลายประเภท หลากหลายอุดมการณ์เข้าด้วยกัน
อีกประการที่มองข้ามไม่ได้ ก็คือ การแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่ ที่เกิดขึ้นทั้งจากความหละหลวมของการจัดการของรัฐ และจากการไม่ระมัดระวังของตัวประชาชนเอง การระบาดระลอกใหม่ครั้งนี้ ดูน่ากลัวกว่าการระบาดระลอกแรกเสียอีก
การที่มีรัฐมนตรี และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ติดโควิด ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ชัดว่า ไปติดเชื้อจากการไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ หรือตามที่อ้างว่าติดจากหน้าห้อง ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นใคร หรือไปติดเชื้อจากสถานบันเทิงตามข่าวลือกันแน่ กลายเป็นจุดอ่อนที่โดนโจมตีกันอย่างมากมาย ทั้งในสื่อกระแสหลัก และ social media
หาก พลเอก ประยุทธ์ ไม่ใช้ความรวดเร็วเด็ดขาดจัดการกับเรื่องนี้ โดยทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็ว แล้วจัดการตามความเหมาะสมอย่างไม่ต้องไว้หน้าผู้ใด รับรองว่า แม้อาจจะทำให้มีผู้ไม่พอใจจนกระทบกับเสถียรภาพรัฐบาลได้ แต่เชื่อเถิดว่า ประชาชนจะอยู่ข้าง พลเอก ประยุทธ์ แน่นอน แต่หาก พลเอก ประยุทธ์ ยังปล่อยให้มีความอึมครึมไม่ทำอะไรให้ชัดเจนอยู่อย่างนี้ รัฐบาลอาจจะมีปัญหายิ่งกว่า
รอดพ้นจากการชุมนุมขับไล่ของม็อบ 3 นิ้วมาได้ แต่จะมาสะดุดขาตัวเองเพราะความเกรงใจ ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า และเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Arthit Ourairat ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีคลัสเตอร์ผับดังย่านทองหล่อ ระบุว่า
“ขอบคุณผับคริสตัลทองหล่อ ขอบคุณนักการเมืองผู้ทรงเกียรติ ที่ทำให้สังคมได้ทราบ ได้เรียนรู้ และรู้จักคริสตัล ถ้าดูผิวเผินเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่เบื้องหลังจริงๆ น่าจะเป็นแหล่งธุรกิจสีเทา แหล่งเพศพาณิชย์ที่ทำให้เด็กหนุ่มสาวจากบ้านนอกเดินเข้าสู่วงจรโลกีย์ปรนเปรอผู้มากด้วยอำนาจวาสนา…
“แต่..สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็น คือ ความล้มเหลวทางการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ การศึกษาที่สอนให้คนเชื่อมากกว่าการสอนให้ทำสอนให้คิด…
“จึงไม่แปลกที่ทำให้ไทยขึ้นเป็นหนึ่ง…ประเทศฟรีเซ็กซ์ ผู้บริหารประเทศกลับมองไม่เห็นปัญหาทางสังคมเช่นนี้ แถม..รมต.ไปใช้บริการอีกจนเป็นข่าวเล่าลือกัน..
“เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ คือ แมลงเม่าเดินเข้าสู่ไฟโลกีย์คนแล้วคนเล่า และมีแนวโน้มขยายในวงกว้าง
“ผู้นำไม่มีวิชันในการสร้างงานสร้างเงินเข้าประเทศ…ก็ยิ่งซ้ำเติมประเทศ ซ้ำเติมประชาชน จึงมีคนเปรียบเปรยว่าข้าราชการกักตัวได้เงินหมื่น ส.ส.กักตัวได้เงินแสน สองแสน แต่ประชาชนแสนข่มขื่นและปวดร้าว 555”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีการจัดมวยการกุศลขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า “ศึกมหกรรมมวย รวมพลคนจะนะ” เมื่อวันที่ 8-9 เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา โดยในโปสเตอร์โปรโมตการแข่งขัน มีภาพของ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย, พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์, นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา, พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ด้วยนั้น
การจัดมวยดังกล่าว แม้จะอ้างว่าไม่ให้มีผู้ชมข้างเวที แต่จะใช้การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ช่อง 5 และหรือช่องทรูโฟร์ยูก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงกลับปล่อยให้มีผู้ชมเข้าไปนั่งชมและเชียร์กันเต็มพื้นที่ข้างเวที อันผิดไปจากคำแถลงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา จึงถือได้ว่า เป็นการฝ่าฝืนมติที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ โดยเฉพาะในงานดังกล่าว มีเจ้าหน้าที่ทั้งจากตำรวจ ฝ่ายปกครอง และ ศอ.บต. เข้ามาควบคุมอยู่ ถือได้ว่าจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยชัดแจ้ง
การจัดชกมวยดังกล่าว เกิดขึ้นในขณะที่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบที่ 3 ทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ ซึ่งปุถุชนทั่วไปย่อมรู้ดีว่าการจัดกิจกรรมชุมนุมใดๆ ที่มีผู้คนไปรวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมากย่อมมีความเสี่ยงในการเกิดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวอย่างมาก ดังนั้น คนที่มีตำแหน่งระดับสูง ยิ่งต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม มิใช่คิดแต่จะใช้อำนาจเส้นสาย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวกพ้องโดยไม่เคารพกฎหมาย ที่ต้องใช้บังคับอย่างเท่าเทียมเสมอภาคกันทั่วประเทศ นั่นคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 และข้อกำหนดห้ามของ ศบค.
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ทำการไต่สวนและเอาผิดนักการเมือง และข้าราชการระดับสูงทั้งหมดที่ร่วมจัดงานดังกล่าว โดยเฉพาะรัฐมนตรี ส.ส. ผู้ว่าราชการจังหวัด สสจ. และ ศอ.บต. ฐานทุจริตต่อหน้าที่และเข้าข่ายความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ถูกต้องต่อไป”
แน่นอน, การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงของโรคโควิด-19 ระลอก 3 ที่คนไทยต่างรับรู้กันดีจากสื่อมวลชน ทั้งสื่อกระแสหลัก และสื่อโซเชียลมีเดีย ว่า เกิดจากความไม่ระมัดระวังของคนในวงการบันเทิง ส.ส. และรัฐมนตรี ที่ไปใช้บริการ “ผับคริสตัล” ย่านทองหล่อ กทม. เป็นแหล่งใหญ่
แต่จนวันนี้ ก็ยังไม่ชัดเจนว่า ส.ส. และรัฐมนตรี ไปติดเชื้อนั้น ติดมาจากไหน จากการไปเที่ยวสถานบันเทิงชื่อดังย่านทองหล่อ อย่างที่มีข่าวหรือไม่
ที่สำคัญ ดูเหมือนรัฐบาลเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งต่างกับที่คอยพร่ำเตือนประชาชน ยกข้อกฎหมายเอาผิด เอาโทษถ้าฝ่าฝืน จนทำให้เห็นอย่างชดเจนว่า รัฐบาลพยายามปกป้องกันเอง เกรงใจกันเอง และที่สุดอาจปล่อยให้เรื่องเงียบหายไป จนเข้าทางการโจมตีของฝ่ายต่อต้านว่า มีสองมาตรฐานจริงๆ
จึงไม่แปลกที่จะมีคำเตือนจากผู้หวังดี และคนที่ยังเห็นว่า รัฐบาลไม่ได้เสื่อมเสียไปทั้งหมด ส่วนที่เป็นเนื้อร้าย ก็ต้องตัดทิ้ง แม้ต้องเจ็บปวด ต้องใช้เวลารักษาเยียวยาบาดแผลก็ตาม ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่า การปล่อยเอาไว้จนเสียชีวิต หรือ ถ้าเป็นรัฐบาล ก็เท่ากับสะดุดขาตัวเอง พังกันหมด อย่างที่ รศ.หริรักษ์ อดีตรองอธิการบดี มธ.ให้ความเห็น
แต่สุดท้าย ก็คงอยู่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่า มีความคิดต่อเรื่องคนของรัฐบาลทำผิดอย่างไร และไม่แต่เรื่องรัฐมนตรีเที่ยวสถานบันเทิงจนติดโควิดเท่านั้น แม้แต่เรื่องจัดชกมวย ที่ถูกร้อง ป.ป.ช.เอาผิด ก็เช่นกัน
หากเชื่อมั่นว่าตัวเองเอาอยู่ โดยไม่ต้องสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐมนตรีบางคน หรือ ฟังเสียงสะท้อนจากหลายฝ่าย และรีบจัดการสะสางปัญหาโดยเร็ว ทำความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณชน และทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลไม่มีการปกป้องคนผิด อย่างที่พล.อ.ประยุทธ์ชอบกล่าวอ้าง ก็อยู่ที่รัฐบาล
แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา รัฐบาลจะมาโอดครวญในภายหลังไม่ได้ เพราะคราวนี้เป็นทีของประชาชนที่จะบังคับให้รัฐบาลต้องทำตามสิ่งที่ตัวเองขีดเส้นเอาไว้ให้ประชาชนเดินบ้าง ทำได้หรือไม่ และเมื่อทำไม่ได้จะจัดการกับตัวเองอย่างไร หรือจะให้ประชาชนจัดการ? ก็ต้องระวังตัวเอาให้ดี!