ข่าวปนคน คนปนข่าว
**อีหรอบเดียวกับ “หลงจู๊สมชาย” “เฮียอ๊อด” ลอยนวลชิลๆ ฟันคริสตัลคลับ แค่จับ ผจก.ร้านยังไม่พอ จาก “ชูวิทย์” ถึง “ผบ.ตร.” งานเข้าอีกแล้ว
การแพร่ระบาดโควิดรอบใหม่ที่หนักหนาสาหัสไปทั่วประเทศ ชัดเจนว่า “สถานบันเทิง” คือต้นตอหลัก โดยเฉพาะอัครสถานบันเทิงที่ชื่อว่า “คริสตัลคลับ” ที่ทั้งทูตญี่ปุ่น นักการเมือง นักธุรกิจ ไปจนถึงพนักงานบริษัท และตำรวจ เป็นพาหะเอาไปติดกันงอมแงม
เมื่อกระแสสังคมกดดันหนักให้หาผู้กระทำผิดมารับผิดชอบ ก็ปรากฏว่า เมื่อวาน (11 เม.ย.) พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ ผบก.น.5 ออกมาบอกว่า ตำรวจ สน.ทองหล่อ ได้ดำเนินคดีต่อนายชวลิต พุทธราช อายุ 30 ปี ผู้จัดการ “คริสตัลคลับ” และ นายครรชิต ซื่อบริสุทธิ์ใจ อายุ 29 ปี ผู้จัดการ “เอเมอรัลผับ” ทองหล่อ ในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (มาตรการควบคุมโรค) และ พ.ร.บ.สถานบริการ โดยศาลแขวงพระนครใต้ สั่งจำคุกผู้จัดการร้านเป็นเวลา 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา พร้อมตั้งคณะกรรมการเพื่อเสนอปิดสถานบันเทิงดังกล่าว ซึ่งอาจสั่งปิดถึง 5 ปี
ถามว่า การจัดการแค่นี้เพียงพอหรือไม่? เพราะสถานบันเทิงก็ไม่ต่างจากบ่อนที่ตำรวจปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ สังคมก็ต้องมองมาที่ตำรวจ แน่นอนว่า ตอนนี้ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เองก็ติดเชื้อโควิดถึง 18 ราย สบทบกับตำรวจในส่วนอื่นๆ รวมๆ แล้วก็ปาเข้าไป 113 ราย ต้องกักตัวอีก 981 นาย
แต่งานนี้ ถ้าตำรวจจริงจังแต่แรก ไม่ให้ท้ายให้การสนับสนุน เพียงเพราะสถานบันเทิงเหล่านี้จ่ายส่วย หรือพูดง่ายๆ หลิ่วตาให้เปิดเกินเวลา หลับหูหลับตาเรื่องใบอนุญาต ความเลวร้ายที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคแบบซูเปอร์สเปรดเดอร์ ก็น่าจะไม่รุนแรงเท่านี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องความเป็นความตายของประชาชน แต่พอมีเรื่องแดงขึ้นมาเหมือนกรณี “บ่อนระยอง” การจัดการก็มาอีหรอบเดียวกันกับการจัดการ “หลงจู๊สมชาย” เจ้าของบ่อนไม่มีผิด กว่าจะมะงุมมะงาหราจัดการ ก็ต้องให้ “ถั่วสุก งาไหม้” ไปหมด
งานนี้ “เฮียชู” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ไม่พลาด โพสต์ถึงประเด็นนี้อย่างชนิดยิงคำถามตรงไปที่ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. บอกว่า ...“คริสตัลคลับและเครือข่าย” อัครสถานบันเทิงเริงรมย์ย่านทองหล่อ ต้นตอของการแพร่ระบาดโควิดรอบล่าสุด ที่ลามไม่หยุดจาก “นารีสโมสร” ไปยันทั่วประเทศ
ครั้งแรก สนามมวย ฝีมือทหาร
ครั้งสอง แรงงานต่างด้าว ฝีมือทหาร
ครั้งสาม บ่อนการพนัน ฝีมือตำรวจ
ครั้งสี่ คริสตัลคลับ ฝีมือตำรวจ
ครั้งนี้ตำรวจท้องที่ สน.ทองหล่อ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพิ่งทราบว่า สถานที่อย่าง “คริสตัลคลับ” ที่ใหญ่โตมโหฬารกลางทองหล่อ ไม่มีแม้แต่ใบอนุญาตสถานบริการ ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ อย่างที่กระซิบเอาไว้
แถมเปิดกันยันย่ำรุ่งพระบิณฑบาต ขายเหล้า เอาผู้หญิงมาเปิดโชว์สะดือ โชว์หน้าอกนั่งดื่ม มีโคโยตี้ เต้นเด้งหน้าเด้งหลัง มีห้องสูท ห้องคาราโอเกะเป็นร้อยห้อง ลงทุนหลายร้อยล้าน เปิดกันโจ๋งครึ่ม ได้ใจมาหลายปี
แล้วเจ้าของฉายา “อ๊อด มิยาบิ” ยังไม่ยั้งมือ โยกเงินเรียกหุ้นใหม่มาเปิด “เอเมอรัลคลับ” ให้สะใจวัยโก๋ไปเลย
นี่หาก นักการเมือง ส.ส. ทูตญี่ปุ่น ไม่ติดโควิด ก็ยังเปิดรับเงิน รับส่วยกันเปรมปรีดิ์ ส่วนท้องที่ก็ยังทำหน้าตายไม่รู้ต่อไป
พอมีเรื่อง เพิ่งถึงบางอ้อว่า “อ๋อ...เปิดไปโดยไม่มีใบอนุญาตนี่หว่า” งงๆ ว่าอ้ายอ๊อด เปิดไปได้ไงวะ? อย่างนี้ต้องปิด
สถานที่แบบนี้ ไม่ใช่ซุ้มคาราโอเกะข้างทางนะครับท่านพี่ หลับหูหลับตาให้เปิด จนบรรลัยสงกรานต์ทั่วประเทศ ตำรวจท้องที่ และ บช.น. ถึงเพิ่งลืมตาอ้าปากมองเห็น สั่งปิดเพราะโควิดแพร่ และจะตั้งกรรมการสอบดูว่า มีอะไรอีก
จากใจ “ชูวิทย์” ถึง “ผบ.ตร.ที่เคารพ” ต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้าตั้งแต่รับตำแหน่ง น่าเห็นใจท่าน พวกบ่อนพนันออนไลน์ลงขันกันเปิดอวดศักดา ไม่เกรงใจ เอาอย่าง “หลงจู๊สมชาย” เปี๊ยบ
หวดก้นท้องที่สักที อย่าปล่อยให้ซ่าเสียให้มากนัก
แค่จำคุก 2 เดือนผู้จัดการ ไม่รอลงอาญา เพราะศาลท่านเห็นว่าทำความเดือดร้อนให้กับประเทศ ประชาชนคนเดินดิน แต่สำหรับ “น้องอ๊อด” ชื่อจริง “ก” เจ้าของทั้ง 3 ที่ รอดไปอย่างชิวๆ กะหวังรอไฟเขียวเลี้ยวกลับมาเปิดกันใหม่
อย่าปิดแค่ 5 ปีเลยครับ ปิดถาวรไปเลย รับทรัพย์กันมามากแล้ว คืนกำไรเกรงใจสังคมกันบ้างเถอะน้องอ๊อด
ลีลามาพร้อมข้อมูลของ “เฮียชู” ก็ต้องบอกว่า ไม่ธรรมดา เรียกว่างานเข้า ผบ.ตร. เต็มๆ อีกแล้วครับท่าน
** “ลุงหักหมอหนู??” โควิดติดหนักคราวนี้ พังทั้งระบบ รพ.ปิดรับตรวจ-ไม่รับรักษา-วัคซีนมีปัญหา หรือจะจบที่ “รัฐล้มเหลว”!!
สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ มีภาพของความไร้ทิศไร้ทางด้านสาธารณสุขอย่างน่าอนาถใจ การสอบสวนโรคถูกตั้งคำถาม การปกปิดไทม์ไลน์ ของชนชั้นนักการเมือง ไฮไซ มาตรฐานการป้องกันหละหลวม ไปจนถึงการที่คนกลุ่มเสี่ยง และติดเชื้อแล้วเข้าไม่ถึงการรักษา โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง ปิดรับตรวจ หรือรักษา เพราะเตียงเต็ม
ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นลุกลามไปอย่างรวดเร็ว 3-4 วันที่ผ่านมา ซูเปอร์สเปรดเดอร์ จากคลัสเตอร์สถานบันเทิงแพร่เชื้อทำคนติดสะสมไปแล้วนับพันราย
มีเคสที่แชร์กันในโซเชียลฯ หลายกรณีที่เป็นไวรัล ตอกย้ำความอลเวงหดหู่ใจ เช่น พ่อแม่ลูก ติดโควิดตระเวนหาที่รักษา แต่ 3-4 โรงพยาบาลปฏิเสธหมด
กรณีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักว่า โรงพยาบาลมีสิทธิไม่รับรักษาเด็กป่วยเป็นโควิดได้ด้วยหรือ !? น่าจะผิดกฎหมาย รัฐบาลต้องสอบสวนและเอาผิดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ รพ.อื่นๆ
ขณะที่การบริหารจัดการวัคซีน ที่ดูจะเป็นความหวังก็เกิดมี “ประเด็น” ให้ชวนสงสัยขึ้นมา หลังจาก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี สั่งตั้งคณะกรรมการจัดหาวัคซีนเพิ่ม เปิดเอกชนนำเข้า “วัคซีนทางเลือก” 10 ล้านโดส โดยไม่มีชื่อของ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข
ทั้งๆ ที่เรื่องวัคซีน เกี่ยวพันกับกระทรวงสาธารณสุข องค์การอาหารและยา ที่ต้องดูแลการขออนุญาต องค์การเภสัชกรรม และ “หมอหนู” รู้เรื่อง เรื่องเจรจาการจัดหาวัคซีนมาตลอด ทำให้มีคำถามว่า แล้วที่ผ่านมามันคืออะไร?
ว่ากันว่า งานนี้ “ลุง” หักกับ “หมอหนู” อีกครั้ง รวบอำนาจการจัดการวัคซีนมาอยู่ในมือแบบเบ็ดเสร็จตามสไตล์ลุง ที่เมื่อถึงที่สุดก็เข้าแทรกแซงในทุกเรื่อง แม้ “หมอหนู” จะออกมาบอกกับสื่อว่า ที่นายกฯ ลงมาจัดการเรื่องนำเข้าวัคซีน ถือว่าเป็นเรื่องช่วยๆ กัน แต่ก็ดูออกละว่าพูดแบบ “หน้าชื่นอกตรม” ยิ่งกว่าอมบอระเพ็ด
เหตุการณ์ครั้งนี้ เหมือนย้อนรอยคราวระบาดครั้งแรกๆ ที่สนามมวย เป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ แล้วลุงดึงอำนาจจากรองนายกฯ ที่ดูแล สธ.แล้วตั้งคณะมากำกับดูแลเอง
ประเด็นของวัคซีนนี้ “รสนา โตสิตระกูล” โพสต์ในเฟซบุ๊ก ภายใต้ชื่อเรื่อง “หรือเรากำลังถูกหลอกเรื่องวัคซีน !?” น่าสนใจเพราะสะท้อนถึงเรื่องนี้
เนื้อหาระบุว่า การระบาดใหญ่ระลอก 3 ทำให้ความคาดหวังที่ว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีนแล้วจะสามารถเปิดประเทศ เปิดเมือง เปิดรับการท่องเที่ยวได้อย่างเสรี ไม่มีกักตัว 14 วัน น่าจะถูกเลื่อนเวลาออกไปอีกพอสมควร
วัคซีน 2 ชนิดที่ใช้กันในปัจจุบัน คือ “ซิโนแวค” จากจีน และ “แอสตร้าเซนเนก้า” ของอังกฤษ ขณะนี้มีการถกเถียงกันระหว่างหมอด้วยกันเองว่ามีประสิทธิภาพเพียงใดกันแน่
วัคซีนโควิดเป็นวัคซีนที่ถูกพัฒนามาในระยะเวลาอันสั้น เพียงปีกว่าๆ “ในสถานการณ์ฉุกเฉิน” จึงไม่สามารถกล่าวอ้างว่า จะมีประสิทธิภาพตามที่คาดหวังไว้ได้ วัคซีนโดยทั่วไปการพัฒนาต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4-6 ปี โดยหลักแล้ววัคซีนถูกพัฒนาด้วยวัตถุประสงค์หลัก คือ
1) ป้องกันการติดเชื้อตัวนั้น และไม่ติดซ้ำอีก
2) ไม่แพร่เชื้อต่อ
3) ลดความรุนแรง และควบคุมโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การที่วัคซีนโควิดถูกพัฒนาขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน บริษัทยา และผู้จำหน่ายจึงไม่รับรองผล และไม่รับผิดชอบหากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนที่ผลิตขึ้นมา จึงต้องให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเป็นผู้รับผิดชอบ และพิจารณาที่จะใช้ กับประชาชนของตนเอง
วัคซีนที่คนไทยเคยฉีดป้องกันโรค เช่น อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ฯลฯ ล้วนแต่เป็นวัคซีนที่ฉีดแล้ว เราจะไม่เป็นโรคนั้นซ้ำอีก และไม่ต้องเซ็นใบยินยอมเหมือนก่อนเข้าห้องผ่าตัดให้ใจแป้วอีกด้วย
แต่สำหรับวัคซีนโควิด เมื่อฉีดแล้วไม่มีหลักประกันว่าจะไม่ติดเชื้อโควิดซ้ำ หรือไม่แพร่เชื้อให้คนอื่นอีก ยิ่งเชื้อกลายพันธุ์ ยิ่งไม่มีหลักประกันว่าฉีดวัคซีนแล้วจะป้องกันได้ผล สิ่งที่วัคซีนจะช่วยได้ ตามที่รัฐบาลประชาสัมพันธ์ คือ เมื่อติดเชื้อแล้วจะลดความรุนแรงไม่ให้ถึงตาย ในกรณีที่ผู้รับวัคซีนไม่เกิดอาการแทรกซ้อนถึงตายเสียก่อนจากวัคซีน
ส่วนผลไม่พึงประสงค์นั้น “ยังตอบไม่ได้” เพราะต้องดูจากรายงานหลังจากวัคซีนออกสู่ตลาด (post marketing) แล้วมีการฉีดเป็นจำนวนหลายล้านโดส ซึ่งเท่ากับว่า ประชาชนกลายเป็นหนูทดลองยาในการศึกษาวิจัยวัคซีน ระยะที่ 4 (Phase 4) ให้กับกลุ่มบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ใช่หรือไม่
ในสถานการณ์วิกฤต การจะเห็นผลของวัคซีน ต้องฉีดให้ได้ถึง 25% ของประชากร (หรือราว 15 ล้านคนขึ้นไป) ในขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยยังฉีดได้ไม่ถึง 1% ประเด็นสำคัญ ขณะนี้ต่อให้มีเงิน ก็อาจจะซื้อวัคซีนไม่ได้ และประเทศเราก็ไม่ใช่ประเทศร่ำรวย จึงควรมีมาตรการอื่นๆ ด้วย
ขณะนี้ รพ.เอกชน กดดันรัฐบาลขอเป็นผู้ซื้อวัคซีนมาฉีดให้คนไทยเอง ในขณะที่บ่ายเบี่ยงไม่รับตรวจโควิด อ้างว่า น้ำยาหมด แต่ที่จริงคือ ไม่ต้องการรับคนไข้โควิดมานอนโรงพยาบาล เพราะแย่งที่ของคนไข้โรคอื่น และคนไข้อื่นก็กลัวที่จะไปเข้าโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยโควิด ใช่หรือไม่ แต่โรงพยาบาลบางแห่ง กลับต้องการขอจัดหาวัคซีนมาฉีดแทนรัฐ เพราะวัคซีนสามารถสร้างกำไรจากผู้มีกำลังซื้อ ใช่หรือไม่
สรุปว่า โควิดระบาดหนักคราวนี้ กลไกธรรมชาติ ได้ทดสอบประสิทธิภาพการบริหารจัดการของรัฐบาลลุงเต็มๆ ในทุกมิติ
เรื่องนี้โทษว่า เจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ที่ดีๆ ที่ทำงานอย่างเต็มที่คงไม่ได้ แน่นอนว่าสังคมให้ความเคารพ และเชิดชูเหมือนเดิม แต่สำหรับกับความล้มเหลวของการบริหารจัดการของรัฐ ก็ต้องแยกออกมา
ความวิบัติที่เกิดกับประชาชนที่ทนทุกข์รับกรรม รับผลพวงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐ จนต้องอยู่อย่างช่วยเหลือตนเองแบบสับสนอลหม่าน เข้าไม่ถึงการรักษา มีความเหลื่อมล้ำ มาตรฐานไม่เท่าเทียม เจ็บป่วยก็กระเสือกกระสนดูแลกันเอง เข้าใกล้ประเทศในยุโรปบางประเทศที่สุดท้าย อาจจะต้องนอนรอความตายอยู่ที่บ้านหรือไม่?
งานนี้ได้ จบที่รัฐล้มเหลว-failed state ของจริง!!