อนุกก.ติดตามขับเคลื่อนโครงการพระราชดำริ พื้นที่ภาคกลาง ติดตามโครงการศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดง ระยอง ตามพระราชปณิธานของในหลวงร. 10 ในการสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กว่า 4 พันแห่ง ให้ขยายผลต่อเนื่อง-กว้างขวาง
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา พล.อ.อ. จอม รุ่งสว่าง องคมนตรี รองประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคกลาง พร้อมด้วยนายดนุชา สินธวานนท์ เลขาธิการ กปร. และคณะอนุกรรมการฯ ลงพื้นที่จังหวัดระยอง เพื่อติดตามเยี่ยมชมผลสัมฤทธิ์โครงการศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
การนี้องคมนตรี เปิดเผยถึงการดำเนินงานของศูนย์ฯ ว่าโครงการฯนี้ เอื้อประโยชน์ประชาชนรอบๆ พื้นที่เป็นอย่างมาก และนับเป็น 1 ใน 7 โครงการแรกๆ ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระราชดำริให้มีการจัดตั้งขึ้น และพระองค์ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ประมาณ 3 ล้านบาทเศษ ให้เป็นทุนเริ่มต้นในการดำเนินโครงการ โดยดำเนินการเป็นศูนย์สาขาของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้บริการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางด้านเกษตรกรรมให้แก่ประชาชน ภายใต้การดำเนินงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
“การเดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้ของอนุกรรมการฯ นั้นเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาสภาวการณ์ด้านต่างๆ มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ทั้งทางเศรษฐกิจ ภูมิสังคม และภูมิศาสตร์ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 10 ในการสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มีกว่า 4,000 โครงการ ขยายผลไปสู่การปฏิบัติใช้ของราษฎรอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง”
องคมนตรีกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า เนื่องจากพื้นที่โครงการฯ อยู่ในพื้นที่ Eastern Economic Corridor ( EEC ) หรือโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก แผนยุทธศาสตร์ภายใต้ ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการพัฒนาเชิงพื้นที่ ที่ต่อยอดความสำเร็จมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Seaboard ซึ่งจะเดินหน้าต่อยอดได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ จังหวัดระยอง จะสร้างความมั่นคงให้เกษตรกรในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
ทางด้านนายหะพันธ์ พลับพลาไชย ผู้อำนวยการศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ จังหวัดระยอง เปิดเผยว่า ทางศูนย์ฯ นอกจากเป็นแหล่งให้ความรู้แก่เกษตรกร เพื่อนำไปปฏิบัติใช้ ในการยกระดับครัวเรือนมีกิน มีใช้ เหลือขาย สร้างรายได้แล้ว ทางศูนย์ฯ ยังมีการจัดทำแปลงสาธิตการผลิตด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย โดยนำผลการศึกษาวิจัยที่ประสบผลสำเร็จแล้วมาดำเนินการพร้อมขยายผลสู่การปฏิบัติใช้ของเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งจะสามารถทำการผลิตพืชอาหารเพื่อป้อนสู่โรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ
“อย่างพืชสวนมีพันธุ์ยางพาราที่ให้น้ำยางมากและมีคุณภาพ ตลอดถึงการปลูกทุเรียน ที่ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ด้วยการปลูกแบบระยะชิด แบบกางแขน ซึ่งได้นำเครื่องจักรมาใช้ร่วม เช่น การให้น้ำตามเวลาที่กำหนด ตามระยะเวลาการเติบโตของพืช การให้น้ำด้วยระบบตรวจวัดความชื้นในดินภายในแปลงปลูกแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตที่ได้ตรงตามความต้องการของตลาด ที่สำคัญสามารถช่วยลดปัญหาเรื่องของแรงงานได้เป็นอย่างดี รวมทั้งลดปัญหาแมลงศัตรูพืช เป็นการช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรและเพิ่มรายได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น”
ด้านนายกนกพล ประทุม เกษตรกรที่ประสบความสำเร็จจากการขยายผลของโครงการศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ ปัจจุบันได้รับการคัดเลือกให้เป็นศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริบ้านหนองอ้ายรื่น เปิดเผยว่า ได้นำความรู้จากศูนย์มาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ 3 ไร่ ด้วยการปรับปรุงบำรุงดิน วางระบบการผลิตอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ปรับหน้าดินยกร่องราดน้ำหมัก ปรับสภาพดินก่อนนำต้นพืชลงปลูก ขุดสระเก็บน้ำ ในสระเลี้ยงปลา ระหว่างไม้ใหญ่ปลูกพืชผักตามฤดูกาล ผักผลไม้ไม่ต้องซื้อเหลือแบ่งเพื่อนบ้านและขาย มีรายได้หลักมาจากการเพาะเชื้อเห็ดขาย โดยผลิตตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่ง เห็ดที่เพาะมีเห็ดนางฟ้าภูฐาน เห็ดขอนขาว เห็ดหลินจือ เป็นต้น
“ขอขอบคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทำให้มีโอกาสในทุกวันนี้ ทำให้มีที่ทำกิน มีอาชีพที่มั่นคง ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้าง ได้อยู่กับบ้านกับครอบครัว มีสุขภาพที่ดีขึ้น หลังจากรัชกาลที่ 9 ได้จากพวกเราไป ก็มีรัชกาลที่ 10 ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดโครงการฯ ทำให้ประชาชนได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ เกษตรกรอย่างพวกเราจะได้มีอาชีพที่ยั่งยืนต่อไป” นายกนกพล ประทุม กล่าว
สำหรับโครงการศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ นั้น ได้ดำเนินตามแนวพระราชดำริด้วยการนำองค์ความรู้มาพัฒนาสู่ฐานการเรียนรู้ เพื่อให้บริการแก่เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ที่สนใจ จำนวน 7 ฐานการเรียนรู้ ประกอบด้วย ฐานการเรียนรู้ด้านพืชสวน ด้านการพัฒนา ด้านข้าว ด้านประมง ด้านปศุสัตว์ ด้านวิชาการเกษตร ด้านฟาร์มแกะ พร้อมกับขยายผลสำเร็จไปยังหมู่บ้านขยายผลบริเวณรอบโครงการศูนย์บริการฯ จำนวน 7 หมู่บ้าน เกษตรกร 790 ครัวเรือน หมู่บ้านขยายผลในตำบลรอบในโครงการศูนย์บริการฯ จำนวน 4 ตำบล 28 หมู่บ้าน เกษตรกร 1,792 ครัวเรือน และหมู่บ้านขยายผลในตำบลรอบนอกโครงการศูนย์บริการฯ เต็มพื้นที่ 3 อำเภอในจังหวัดระยอง เกษตรกร 10,275 ครัวเรือน ให้ได้รับการพัฒนาในด้านเกษตรกรรม
ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ นอกจากเกษตรกรจะมีอาหารที่ปลอดภัยไว้บริโภคแล้ว ยังสามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้ไปสู่การพัฒนาผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ สามารถป้อนสู่โรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง ยังผลต่อรายได้ที่มั่นคง ส่งผลประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของชุมชนดีขึ้น และความมั่นคงต่อปัจจัยการผลิตให้กับ EEC พื้นที่ภาคตะวันออกอีกด้วย.