วันนี้ (12 มี.ค.) เมื่อเวลา 15.20 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้รัฐสภามีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ต้องทำประชามติสอบถามความคิดเห็นประชาชนก่อนและหลังแก้ไขว่า ก็เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนไม่มีความเห็นอะไร เป็นเรื่องของรัฐสภา ถ้าเขาจำเป็นต้องดำเนินการตามนั้น ตนก็จะหางบประมาณให้แค่นั้นเอง และการทำประชามติก็เป็นเรื่องของประชาชน
เมื่อถามว่า จะเป็นปัญหาหรือไม่เพราะเงื่อนไขการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกฯกล่าวว่า เมื่อเช้าตนก็เห็นสมาชิกพรรคที่ว่า แต่ตนไม่ขอเอ่ยนาม ออกมาแถลงแสดงความคิดเห็นแล้ว ซึ่งเขาไม่กังวล ถ้าไม่เป็นกังวลแล้วตนจะกังวลทำไม ก็เป็นไปตามที่ศาลมีคำวินิจฉัยออกมาก็เป็นเรื่องที่ว่าจะไปทำอย่างไรต่อไปเท่านั้นเอง ตนก็ขอร้องอย่าเอาประเด็นเรื่องนี้เป็นความขัดแย้งกันอีกเลย เรื่องรัฐธรรมนูญขัดแย้งกันมาหลายรอบแล้ว ซึ่งรัฐบาลยินดีที่จะให้มีการแก้ไขอย่างไร แต่จะแก้ไขอย่างไรให้ไปว่าครบถ้วนกระบวนความ ไม่อยากให้เป็นความขัดแย้ง ไม่ใช่อะไรก็ขัดแย้งไปหมด แล้วมันจะทำอะไรได้เราจะทำให้ประเทศเราไปสู่ความขัดแย้งในหลายๆ เรื่องพร้อมๆ กัน คงไม่เหมาะสมในเวลานี้
นายกฯกล่าวว่า เรื่องโควิดก็แย่อยู่แล้ว สถานการณ์การเมืองก็เอาเข้าไปอีก เศรษฐกิจก็เอาเข้าไปอีก แล้วพวกเราจะอยู่กันอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะอยู่กันอย่างไร ก็ต้องเห็นใจคนอื่นเขาบ้าง เราต้องนึกถึงคนทุกคน แน่นอนว่าคนทั้ง 66 ล้านคน คิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไว้ใจและมั่นใจ คือ การเลือก ส.ส.เข้ามา ซึ่ง ส.ส.ทั้ง 500 คนก็เป็นตัวแทนคน 66 ล้านคน ซึ่ง ส.ส. 500 คนก็ 500 ความคิด มันถึงต้องมีพรรคการเมือง มีพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งหมดคือกลไกประชาธิปไตย ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญ ส่วนที่จะแก้หรือแก้แบบไหนไปหาวิธีกันมา เพราะตนมีหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร ตนก็สนับสนุน อาจจะมีการแก้ไขจริงๆ ก็แก้ไขกันไป แต่ก็ต้องเคารพกระบวนการยุติธรรมเขาด้วย ศาลไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร เพราะเขาพิจารณาตามกระบวนการ ตามหลักการข้อกฎหมาย ขอให้ระมัดระวังด้วยเมื่อไปกล่าวถึง อย่าไปก้าวล่วงถึง ซึ่งตนก็ไม่ไปก้าวล่วงถึง เพราะตนก็เคารพศาล
เมื่อถามว่า จะเป็นปัญหาหรือไม่เพราะเงื่อนไขการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกฯกล่าวว่า เมื่อเช้าตนก็เห็นสมาชิกพรรคที่ว่า แต่ตนไม่ขอเอ่ยนาม ออกมาแถลงแสดงความคิดเห็นแล้ว ซึ่งเขาไม่กังวล ถ้าไม่เป็นกังวลแล้วตนจะกังวลทำไม ก็เป็นไปตามที่ศาลมีคำวินิจฉัยออกมาก็เป็นเรื่องที่ว่าจะไปทำอย่างไรต่อไปเท่านั้นเอง ตนก็ขอร้องอย่าเอาประเด็นเรื่องนี้เป็นความขัดแย้งกันอีกเลย เรื่องรัฐธรรมนูญขัดแย้งกันมาหลายรอบแล้ว ซึ่งรัฐบาลยินดีที่จะให้มีการแก้ไขอย่างไร แต่จะแก้ไขอย่างไรให้ไปว่าครบถ้วนกระบวนความ ไม่อยากให้เป็นความขัดแย้ง ไม่ใช่อะไรก็ขัดแย้งไปหมด แล้วมันจะทำอะไรได้เราจะทำให้ประเทศเราไปสู่ความขัดแย้งในหลายๆ เรื่องพร้อมๆ กัน คงไม่เหมาะสมในเวลานี้
นายกฯกล่าวว่า เรื่องโควิดก็แย่อยู่แล้ว สถานการณ์การเมืองก็เอาเข้าไปอีก เศรษฐกิจก็เอาเข้าไปอีก แล้วพวกเราจะอยู่กันอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะอยู่กันอย่างไร ก็ต้องเห็นใจคนอื่นเขาบ้าง เราต้องนึกถึงคนทุกคน แน่นอนว่าคนทั้ง 66 ล้านคน คิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไว้ใจและมั่นใจ คือ การเลือก ส.ส.เข้ามา ซึ่ง ส.ส.ทั้ง 500 คนก็เป็นตัวแทนคน 66 ล้านคน ซึ่ง ส.ส. 500 คนก็ 500 ความคิด มันถึงต้องมีพรรคการเมือง มีพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งหมดคือกลไกประชาธิปไตย ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญ ส่วนที่จะแก้หรือแก้แบบไหนไปหาวิธีกันมา เพราะตนมีหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร ตนก็สนับสนุน อาจจะมีการแก้ไขจริงๆ ก็แก้ไขกันไป แต่ก็ต้องเคารพกระบวนการยุติธรรมเขาด้วย ศาลไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร เพราะเขาพิจารณาตามกระบวนการ ตามหลักการข้อกฎหมาย ขอให้ระมัดระวังด้วยเมื่อไปกล่าวถึง อย่าไปก้าวล่วงถึง ซึ่งตนก็ไม่ไปก้าวล่วงถึง เพราะตนก็เคารพศาล