นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคกล้า แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ PM 2.5 ว่า เวลานี้พี่น้องภาคเหนือกำลังสำลักฝุ่นพิษและเป็นวิกฤตร้ายแรง แต่แปลกใจว่าทำไมรัฐบาลจึงนิ่งเฉยขนาดนี้ โดยค่าฝุ่น PM 2.5 ตัวเลขพุ่งฉิวในหลายจังหวัด สภาพอากาศย่ำแย่ถึงขั้นขึ้นอันหนึ่งของโลกติดกันมาแล้ว 3 วัน ไม่ว่า แม่ฮ่องสอน เชียงราย หรือเชียงใหม่ เวลานี้กำลังย่ำแย่ จำนวนผู้ป่วยกลุ่มโรคทางเดินหายใจ กลุ่มโรคหัวใจ หลอดเลือด กลุ่มตาอักเสบ กลุ่มผิวหนังอักเสบ พุ่งสูงเกือบหมื่นคน แต่รัฐบาลกลับไปตื่นเต้นกับกระแสมหาเทวีเจ้าหญิงลี เมืองทิย์และกระเซ้าเย้าแหย่อย่างชื่นมื่นกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่พอมาเรื่องสำคัญต่อชีวิตคนแบบนี้กลับพูดได้แค่หลายต้องช่วยกันซึ่งเป็นนามธรรมอย่างมากจนจับต้องอะไรแทบไม่ได้เลย
"ถ้ารัฐบาลใส่ใจปัญหานี้อย่างจริงจังและติดตามตัวเลขค่าฝุ่นอย่างใกล้ชิด ท่านจะไม่สามารถอยู่เฉยได้เลยเวลานี้หลายจังหวัดควรประกาศเป็นเขตภัยพิบัติได้แล้ว เพราะค่าฝุ่นขนาดนี้หนักขนาดนี้เกินมือที่จะปล่อยให้แต่ละจังหวัดรับมิอตามลำพังได้ ควรตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์และมีคณะทำงานจัดการวิกฤตมารับผิดชอบในการจัดการสถานการณ์โดยตรงเหมือนกรณีโควิด 19 ในระยะเร่งด่วน ผู้มีความเสี่ยงทางสุขภาพควรมีสถานที่หลบภัยที่รัฐจัดให้โดยมีที่กรองอากาศและทีมช่วยเหลือ ควรเตรียมงบประมาณเยียวยาหากต้องให้หยุดงานกลางแจ้ง นอกจากนี้ควรทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงหน้ากากกันฝุ่น PM 2.5 ได้ ส่วนโรงเรียนหากไม่หยุดก็ควรต้องจัดให้มีพื้นที่หรือห้องที่กันฝุ่นและควรมีงบประมาณสำหรับจัดหาเครื่องกรองอากาศให้"
สำหรับในระยะยาว นายอริย์ธัช เสนอว่า ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นเรื่องใหญ่มากและเป็นวาระแห่งชาติของสังคมไทยที่ต้องมีการแก้ไขปัญหาจริงๆ ไม่ใช่ทำงานด้วยปาก อย่างเมื่อต้นปี กรุงเทพฯเองก็เพิ่งเผชิญปัญหานี้ท่ามกลางความเพิกเฉยของรัฐบาลเช่นกัน แม้ว่าปัจจัยของปัญหาฝุ่นอาจแบ่งได้หลายสาเหตุ ในกรุงเทพอาจเกี่ยวข้องกับมลพิษของเครื่องยนตร์ดีเซลที่เผาไหม้ไม่ดีประกอบกับตึกสูงทำให้กลายเป็นสภาพอากาศปิด ขณะที่ทางเหนือปัจจัยสำคัญเป็นเรื่องของการเผาแปลงการเกษตร ซึ่งจุดความร้อนที่เห็นนั้นพบว่าเกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ