“ประยุทธ์” เผยกำหนดวิสัยทัศน์เดินหน้าประเทศ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 64 ให้ ครม.ยกแผนจีนต้นแบบแผนปฏิรูป เผยธุรกิจหลายอย่างเริ่มดีขึ้น
วันนี้ (9 มี.ค.) เมื่อเวลา 12.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้ได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ให้ ครม.ได้รับทราบว่าเราควรเดินหน้าประเทศไปอย่างไรในอนาคต อย่างความสามารถทางเศรษฐกิจที่จะต้องเร่งรัดขับเคลื่อนในปี 2564 เราต้องดูโครงสร้างของจีดีพีและค่าใช้จ่ายในปี 2563 เช่น การส่งออกสินค้าบริการ สัดส่วน 51% ลงทุนภาคเอกชน 18% ลงทุนภาครัฐ 6% กลุ่มเป้าหมายและเป้าหมายของไทย คือ เราต้องมีเหตุผลในการเลือกอุตสาหกรรมใหม่ที่มีผลต่อเศรษฐกิจสูงสุด เป็นแนวโน้มอุตสาหกรรมยุคใหม่ของโลกซึ่งเรายังขาดแชมเปี้ยน ต้องหามาให้ได้ เราต้องทำที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปตลาดโลก ส่งเสริมตลาดออกไป เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีทางการแพทย์ และการดูแลสุขภาพ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อัฉริยะ อุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งก็มีรายงานว่าประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนที่มีการพัฒนาเรื่อง 5G ได้เร็วที่สุด
นายกฯ กล่าวว่า นี้คือทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ตนก็พูดคุยกับฝ่ายเศรษฐกิจมาโดยตลอดโดยได้หาตัวอย่างมา พบว่าประเทศจีนมีการประกาศแผนระยะกลางและระยะยาวในเรื่องของการปฏิรูป และการพัฒนาระบบการศึกษาแห่งชาติ หลายอย่างเราทำอยู่แล้ว โดยได้นำแจกให้ ครม.ทุกคนไปช่วยกัน อย่างเรื่อง BCG ที่เราขับเคลื่อนประเทศ ฉะนั้นถ้าเราคิดร่วมกันก็ไปได้หมด
ฉะนั้น สิ่งสำคัญคืออย่าขัดแย้งมากนักเลย ความขัดแย้งไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่เกิดประโยชน์อะไรสักอย่าง แต่ตนก็ไปห้ามไม่ได้ เรื่องการอนุมัติแผนงานโครงการซึ่งรัฐบาลกระจายอำนาจตรงนี้ไปแล้วโดยให้จัดทำโครงการขึ้นมาจากข้างล่างซึ่งต้องผ่านกลไกท้องถิ่น ทั้ง อบจ., อบต. สามารถเสนอโครงการขึ้นมาได้เพื่อขออนุมัติจากรัฐบาล แต่ต้องทำแผนให้ละเอียดและชัดเจน มีการทำประชาพิจารณ์ ไม่ใช่เขียนโครงการเป็นกระดาษ 1-2 แผ่นแล้วเสนอขึ้นมาทำได้เลย มันทำไม่ได้ อนุมัติไม่ได้ เพราะไม่ผ่านหลักเกณฑ์ ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลไม่ให้ กลไกการทำโครงการจะต้องไปปรับปรุงข้างล่างจะได้ไม่มีการทุจริต และนำไปใช้ได้จริง ไม่อย่างนั้นทำไม่ได้ทั้งหมด
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้จากสถานการณ์การประเมินทางเศรษฐกิจวันนี้ หลายธุรกิจเริ่มดีขึ้น มีทั้งดีขึ้น ทรงๆ และชะลอตัวช้าลงมากซึ่งขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรการทางเศรษฐกิจ วัคซีนโควิด-19 ที่เราเริ่มฉีดทำให้ความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ