เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกช็อกกับข่าวที่ว่า “มีคนร้ายลอบเผาพระบรมฉายาลักษณ์” ที่บริเวณหน้าเรือนจำคลองเปรม โดยคนร้ายก่อเหตุเมื่อตอนเช้ามืด วันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา
จากการแถลงของ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม เมื่อวันที่ 2 มี.ค. กล่าวถึงกรณีการวางเพลิงเผาทรัพย์หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ว่า จากการสืบสวนของตำรวจ ร่วมกับกรมราชทัณฑ์ ขณะนี้ทราบว่า มีผู้ก่อเหตุ 3 ราย เป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน ใช้รถยนต์ในการก่อเหตุ ซึ่งตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อขอหมายศาลออกหมายจับ รวมถึงการสั่งการของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ที่เน้นการขยายผล การตรวจสอบเส้นทาง จนได้ทราบว่าเกี่ยวกับกลุ่มการเมือง หากเราสาวถึงใครก็ดำเนินคดีหมด เพราะเป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำลายความรู้สึกของคนไทย สิ่งที่ทำเป็นโทษที่ร้ายแรงมาก เพราะเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และมีโทษหนักถึงประหารชีวิต เพราะเป็นโรงเรือน และสมบัติของทางราชการ
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวอีกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้เกี่ยวกับการชุมนุม และการที่เจตนาเผาพระบรมฉายาลักษณ์ เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ตามมาตรา 112 มีโทษจำคุก 3-15 ปี รวมถึงการบุกรุกสถานที่ราชการ มีโทษจำคุก 5 ปี และยังมีเรื่องของความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เรื่องการแชร์ภาพอันมิบังควร มีโทษจำคุก 5 ปี รวมแล้วมี 4 ข้อหาหนัก โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ซึ่งทาง นายสมศักดิ์ ได้เร่งรัดให้นำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ภายใน 7 วัน
ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวต่อว่า จากไทม์ไลน์ที่ทางตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ได้สืบสวนและตรวจหลักฐานจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่เกิดเหตุ พบว่า จากการตรวจสอบของกล้องวงจรปิด กทม. เวลา 02.46 น. พบรถคนร้ายวิ่งผ่านร้านแกรนด์โฮม ใต้สะพานข้ามแยกพงษ์เพชร งามวงศ์วาน 35 จากนั้นเวลา 02.49 น. จากกล้องของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ พบรถคนร้ายวิ่งผ่านหน้าสำนักงาน ฝั่งถนนงามวงศ์วาน ขาออก วิ่งผ่านประตูเรือนจำกลางคลองเปรม และ เวลา 02.50 น. จากกล้องมุมสูงของการไฟฟ้าฯ พบรถคนร้ายจอดริมถนน เลยจุดเกิดเหตุประมาณ 50 เมตร เวลา 02.55 น. พบรถคนร้ายถอยกลับมา ห่างจากจุดเกิดเหตุ 20 เมตร จนกระทั่งเวลา 03.08 น. พบว่า ไฟเริ่มติดตรงจุดเกิดเหตุ และอีก 1 นาทีต่อมา คนร้ายได้ขับออกไปเพื่อหลบหนี
เรื่องนี้เป็นการเตรียมการมาอย่างแน่นอน เพราะในที่เกิดเหตุพบไฟแช็ก น้ำมัน เตรียมมาจุดไฟเผา และใช้เวลาในช่วงเช้ามืด ของวันที่ 28 ก.พ. 64 ใช้เวลาก่อเหตุประมาณ 10 นาที และหนีทันที เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางกรมราชทัณฑ์ได้ทำรายงานถึงสำนักพระราชวัง เพราะเวลาที่เรานำพระบรมฉายาลักษณ์ มาใช้เราต้องขออนุญาตจากทางสำนักพระราชวัง หากถูกเผาทำลาย เราก็ต้องรายงานให้ทราบ
ทั้งนี้ ปกติภายในเรือนจำ มีมาตรการรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว ซึ่งที่เกิดเหตุติดถนนที่ประชาชนใช้สัญจรไปมาตามปกติ ตอนนี้ อธิบดีราชทัณฑ์ ได้ใช้มาตรการเข้มข้นสูงสุด มีเวรยามตลอดเวลา และจุดใดที่มีความละเอียดอ่อน ก็ได้สั่งให้ดูแลเข้มข้นขึ้นในทุกเรือนจำ” ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าว
นั่นคือ รายละเอียดและพฤติการณ์ของคนร้ายที่ปรากฏจากหลักฐานกล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุ ทำให้เชื่อว่า อีกไม่กี่วันเจ้าหน้าที่คงสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ไม่ยาก อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากัน ก็คือ สาเหตุและแรงจูงใจของคนที่ก่อเหตุนั้นมาจากเรื่องอะไรกันแน่ เพราะพฤติกรรมถึงขั้นลงมือ “เผาพระบรมฉายาลักษณ์”ถือว่า “เหิมเกริม” ไม่ธรรมดา
และที่สำคัญ ยังลงมือก่อเหตุในกลางเมือง และเป็นสถานที่ราชการ โดยเฉพาะเป็นบริเวณ “หน้าเรือนจำ” เสียอีก ทำให้มั่นใจว่างานนี้มีการ “วางแผน” มาอย่างดี ซึ่งการวางแผนในที่นี้ ไม่ใช่ “คนที่ก่อเหตุวางแผน” แต่เป็น “คนที่ชักใย” อยู่ข้างหลังมีเจตนาให้มีการลงมือในลักษณะนี้ เพราะในวันเดียวกัน หากสังเกตจะเห็นว่าได้เกิดการชุมนุมของกลุ่มม็อบเครือข่ายในชื่อ “รีเด็ม” อะไรนั่น ที่มีการเคลื่อนขบวนไปที่ กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ โดยอ้างว่า ไปประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีบ้านพักอยู่ด้านในกรมทหารดังกล่าว จนถูกมองได้ไม่ยากว่า มีเจตนาให้เกิดความรุนแรง ทั้งที่หากพิจารณาจากสถานการณ์และบรรยากาศในเวลานี้ ไม่ได้มีเงื่อนไขที่มากพอสำหรับการชุมนุมในลักษณะที่ว่าเลย แต่หากสังเกตจะเห็น “ม็อบ 28 กุมภาฯ” มีการเตรียมการมาอย่างดี นั่นคือ เตรียมการมาป่วนนั่นแหละ
และเป้าหมายก็น่าจะหมายถึง “พื้นที่หวงห้าม” ที่เป็นกรมทหาร “มหาดเล็กรักษาพระองค์” ในเชิงสัญลักษณ์ ที่มีเจตนาสื่อให้เห็นชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าหลายคนก็มองออกได้ไม่ยาก แม้ว่าจะมีความพยายามออกตัวของ “บางคน” เช่น นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล จะพยายามสื่อสารว่า ไม่เห็นด้วยกับการจัดม็อบในลักษณะที่ไม่มีแกนนำ และให้แยกย้ายกันกลับ แต่หากพิจารณากันในมุมกลับกัน ก็อาจเป็นคำถามได้เหมือนกันว่า เป็นการ “เลี่ยงความเกี่ยวข้อง” กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าว แต่เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นในทำนองว่า มีคนในสังคมก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันในนาทีนี้ โดยโฟกัสไปเฉพาะกลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” ที่ถือว่า “เหิมเกริม” มาก นอกจากท้าทายกฎหมายแล้ว ยังเป็นการย่ำยีความรู้สึกของคนไทยจำนวนมาก ซึ่งไม่แน่ใจว่าได้รับชุดความคิดมาแบบไหนกันแน่ เพราะพฤติกรรมการลงมือแบบที่เห็นถือว่า “เกินทน”
หรือว่านี่คือเจตนาของคนที่ “ยุยง” ต้องการให้เกิดผลที่ตามมาในแบบให้เกิดการตอบโต้ “นองเลือด” หรือเปล่า เริ่มอันตรายแล้วจริงๆ !!