อีกครั้ง “พี่โทนี่-ทักษิณ” รุกหนักทางการเมือง เกมปลุกผี “ไทยรักไทย” ฟื้นความสำเร็จในอดีต คราวนี้ ชู SMEs ช่วยปรึกษา ธุรกิจรายย่อย ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ชิงจังหวะคนไทยหมดอาลัยตายอยาก โชว์กึ๋นเย้ย “ลุงตู่”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (2 มี.ค. 64) กระแสข่าวการกลับมาร่วมแจม “คลับเฮาส์” อีกครั้ง ของ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งลี้ภัยหนีโทษและคดีอยู่ในต่างประเทศ
หลังสร้างความฮือฮามาแล้วเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จากการปรากฏตัวในแอปพลิเคชัน Clubhouse (คลับเฮาส์) ห้อง ไทยรักไทย ใครเกิดทัน มากองกันตรงนี้ ในชื่อ Tony Woodsome ร่วมสนทนาในประเด็นต่างๆ
โดย เฟซบุ๊ก CARE คิด เคลื่อน ไทย โพสต์ข้อความระบุว่า
“มีใครเคยรู้บ้าง? อดีตนายกฯที่ได้ชื่อว่ามหาเศรษฐีคนหนึ่งของประเทศ เคยล้มลุกคลุกคลานกับชีวิตธุรกิจของเขามานับครั้งไม่ถ้วน
วันนี้ “พี่โทนี่” คนเดิม…จะขอกลับมาพบพี่น้องประชาชน เพื่อบอกเล่าชีวิตที่เคยล้ม ชีวิตที่เคยสู้ และชีวิตที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้คำปรึกษากับพี่น้องผู้ที่กำลังประสบกับปัญหาทางธุรกิจ หรือผู้ที่ใกล้จะหมดกำลังใจ และผู้ที่คิดจะเริ่มต้นลงทุนทางธุรกิจใหม่
พบกับพี่ Tony Woodsome อีกครั้ง วันอังคารที่ 2 มีนาคม เวลา 21.30 น. ที่ CARE : ClubHouse
https://www.matichon.co.th/politics/news_2603235
ขณะเดียวกัน แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ก็ได้โพสต์ ภาพในอินสตาแกรมส่วนตัวพร้อมระบุว่า
#clubhouse @thaksinlive
ไม่เพียงเท่านั้น CARE คิด เคลื่อน ไทย ยังโพสต์เอาไว้ด้วยว่า
“คนไทยไม่จำเป็นต้องจน” แต่เราจนเพราะเราไม่จำ มีบางสิ่งบางอย่างที่เราอนุญาตให้เกิดขึ้นในอดีต แล้วก็พาเรามาที่ความจน
“คนไทยจนเพราะทน” เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ตาม ใครจะทำอะไรกับเราก็ตาม เราก็ยังทนได้ เราเป็นคนที่ไม่ออกมาโวยวายว่าสิ่งนี้ใช้การไม่ได้ ถ้าเรายังทนอยู่เราก็ยังต้องจนต่อไป
“...ผมเชื่อว่าคนไทยมีความสามารถ เราเก่งที่สุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคราฟต์งานฝีมือก็ดี เรื่องของศิลปะ เรื่องของการออกแบบ คนไทยเป็นชนชาติที่เก่งที่สุดในโลก...แต่ถ้าคนไทยมีสติปัญญามีความสามารถเยอะขนาดนี้ ทำไมเรายังจนอยู่ล่ะครับ...”
ในปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มต้นกลุ่ม CARE เราได้มีการเสนอแนวคิดหลายอย่าง เพื่อจะให้คนไทยพ้นจากความหายนะมาโดยตลอด ความคิดเหล่านั้นได้รับการตอบสนองบ้าง ไม่ได้รับการตอบสนองบ้าง
มาดูกันว่า สถานการณ์ที่เราอยู่ตอนนี้หน้าตาเป็นยังไง
1. เราไม่มีเงินเหลือในประเทศ อันนี้คือสิ่งที่เราเห็น มันไม่มีเงินเหลือในประเทศแล้ว เงินมันหายไปไหนหมด
ในช่วงปี 2544 ถึง 2549 เรามีอัตราของการลงทุนจากต่างประเทศอยู่ประมาณ 41% ของกลุ่มอาเซียน แปลว่า เงินจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในกลุ่มอาเซียนทั้งหมด มาลงทุนที่ไทยไปแล้ว 41%
แต่ปี 2559 ถึง 2561 เหลืออยู่แค่ 14% มันต่างกันมาก แล้วนี่คือ 14% ของกลุ่มประเทศอาเซียน แปลว่าเขาไม่มาลงทุนเมืองไทยแล้ว เขาไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
แล้วในช่วงปี 2559 การลงทุนที่คนไทยเอาเงินไปลงทุนในต่างประเทศประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2561 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แปลว่า นอกจากต่างประเทศไม่ลงทุนในเมืองไทยแล้ว คนไทยยังไม่ลงทุนในเมืองไทยเลย คนไทยยังขนเงินไปลงทุนต่างประเทศเลย
ข้อเสนอของ CARE คือ ทำให้เกิดการลงทุน ไม่ใช่การกู้เงิน
มุมมองของคนทำธุรกิจ ถ้าคุณทำการค้าไม่ได้แล้วคุณกู้อย่างเดียว สิ่งที่จะเหลือกับคนไทยทุกคนก็คือพวกเราได้เป็นหนี้กันถ้วนหน้า เช่น รัฐบาลกู้เงินจากแบงก์ชาติในรูปของพันธบัตร 100 ปี ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อที่จะดึงเงินบางส่วนที่เรามีอยู่ออกมาเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ
2. สร้างทุนหมุนเวียนสำหรับ SMEs
SMEs มีเงินอยู่ แล้วสิ่งที่เราเจอคือโควิด สิ่งที่รัฐบาลบอกคือปิดธุรกิจ ปิดร้านอาหาร ปิดห้าง ปิด ปิด ปิด ปิด ปิด เราก็ไม่มีรายได้ เราก็ไม่มีเงินทุนหมุนเวียน เงินก็เริ่มหมด
ข้อเสนอของ CARE คือ ปล่อยเงินกู้ให้กับ SMEs ปล่อยกู้โดยที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ให้กับ SMEs แล้วให้ธนาคารหรือรัฐบาลเป็นคนค้ำประกันเงินกู้เหล่านั้น เพื่อให้ SMEs มีเงินกลับเข้ามาในระบบ เพื่อจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้ หรือแม้กระทั่งการเสนอแนวคิดแนวคิดเรื่องการให้รัฐเข้ามาถือหุ้นร่วมกับ SMEs บางอันที่มีประวัติดีมีแนวทางธุรกิจดี รัฐเข้ามาถือหุ้นเลย ถือหุ้นร่วมกันเลยเพื่อประคับประคองให้ SMEs ผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้
3. พักการชำระภาษี
เวลาที่เราไม่มีตังค์เนี่ยไม่มีเงินเนี่ยก็แปลว่าจากภาษีน้อยลง เพราะเราไม่มีเงินในกระเป๋า
สิ่งที่รัฐทำได้ก็คือบอกว่ารัฐบอกว่ารัฐไม่มีรายได้ รัฐต้องการได้เงินมากขึ้น รัฐทำยังไง ก็เก็บภาษีหนักขึ้น ประชาชนจน รายได้น้อยสิ่งที่รัฐทำคือเก็บภาษีหนักขึ้นไปอีก แล้วประชาชนจนหนักเข้าไปอีก เป็นวงจรอุบาทว์
ข้อเสนอของ CARE คือ Negative Income Tax ซึ่งจะช่วยยกระดับรายได้ของประชาชนให้พ้นขีดของความจนที่ 2,700 กว่าบาท
อันนี้เป็นสิ่งซึ่งไม่ได้ช่วยเฉพาะแต่ SMEs ช่วยประชาชนโดยตรง ช่วย SMEs แล้วก็ช่วยธุรกิจ ทำให้คนทั้งประเทศมีศักยภาพในการทำธุรกิจมากขึ้น แล้วก็ขยายขอบเขตความสามารถในการจ่ายภาษี ซึ่งจะช่วยประเทศในที่สุดได้
4. ทำให้กล้า อย่าทำให้กลัว
ประเด็นคือว่าไม่ใช่เรากลัวอย่างเดียว ต่างประเทศก็กลัวไปด้วย คนที่จะมาลงทุนเขาเห็นว่าเรามีพรก.ฉุกเฉิน เขาไม่มาลงทุน เพราะเขาก็พลอยกลัวไปด้วย ทุกคนตอนนี้กลัวไปหมด ต่างประเทศกลัวไม่ลงทุน นักลงทุนก็ไม่ลงทุนเพราะกลัว ประชาชนเองก็อยู่ด้วยความกลัว
ข้อเสนอของ CARE คือ ตระหนักแต่ไม่ตระหนก
เราต้องการความมั่นใจที่จะก้าวไปข้างหน้า รัฐบาลจะต้องสื่อสารไปในวิธีที่ทำให้เกิดความมั่นใจ
ความมั่นใจสำหรับประชาชน สำหรับพวกเรา สำหรับนักลงทุน ต้องมีนโยบายที่ชัดเจนว่าแล้วจะไปจากจุดนี้เราจะไปกันต่อยังไง
ผมเชื่อว่า “คนไทยต้องไม่จน” แล้วถ้าทุกคนเชื่อกันแบบนั้น “เราก็จะไม่จน” คิดไว้เสมอว่าพวกเราต้องไม่จน แล้วเดี๋ยวเราจะหาทางออกที่จะพาประเทศเราไปข้างหน้า “แล้วเราก็จะรอดไปพร้อมๆ กัน”
ดวงฤทธิ์ บุนนาค
#คนไทยไร้จน
#ฝันเฟื่องหรือเรื่องจริง
#คิดเคลื่อนไทย”
แน่นอน, สิ่งที่น่าจับตามอง เกี่ยวกับ “ทักษิณ” จากการเข้ามาร่วมแจมคลับเฮาส์ในครั้งก่อน ก็คือ เขาเลือกที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ทางการเมือง หรือ โชว์ให้เห็นถึงผลงานในอดีต ที่ถือว่า สร้างเกียรติยศชื่อเสียงและความนิยมมาจนถึงวันนี้
แต่เมื่อถูกถามถึง ปมปัญหาคาใจผู้คน ซึ่งเกิดในขณะที่เขาอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขากลับบ่ายเบี่ยงที่จะพูดถึง อย่างกรณีโศกนาฏกรรม “ตากใบ” และ “กรือเซะ” จนกลายเป็นชนวนความขัดแย้งรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้มาจนถึงวันนี้
หรือ เมื่อถามถึงทัศนะทางการเมือง ที่มีการเคลื่อนไหว “ปฏิรูปสถาบัน” ของ ม็อบคณะราษฎร 2563 เขาก็บ่ายเบี่ยงเช่นกัน อ้างอยู่ไกล จึงไม่รู้อะไรมากนัก ก่อนจะเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 จนสร้างความไม่พอใจให้กับสาวก 3 นิ้วอย่างมาก
เรื่องนี้ เมื่อวันที่ 25 ก.พ. เฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ลี้ภัยทางการเมืองในฝรั่งเศส โพสต์ หยิบยกเอาความลับในอดีต ที่ “ทักษิณ” เคยมีท่าทีต่อสถาบันฯ ว่า
“ทักษิณ กล่าวว่า หนึ่งในรายการที่เขาจะทำ.... คือ ความจำเป็นที่ต้องเอากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพออกจากประมวลกฎหมายอาญา; ประเทศไทยไม่สามารถอ้างได้ว่า เป็นประชาธิปไตย ตราบเท่าที่ยังมีการข่มขู่ว่า จะดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ทักษิณ พูดกับทูตอเมริกัน วิกิลีกส์ 22 ตุลาคม 2551
............................
นี่เป็นสิ่งที่ใกล้ที่สุดที่ทักษิณอ้างว่า จะเอากฎหมายหมิ่นฯออกจากกฎหมายอาญา แต่แน่นอนว่า สุดท้ายไม่ได้ทำ และนี่เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ภายนอกก็ไม่พูดเลย
พรรคก้าวไกล ธนาธร ปิยบุตร ก็ไม่ยอมทำเรื่องกฎหมายนี้ จนกระทั่งถูกยุบพรรค จึงขยับยื่นต่อสภา
ประเทศไทย การต่อสู้ทางการเมือง ไม่ยอมยืนยัน สิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น และต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา”
ก่อนหน้านี้ (23 ก.พ.) เฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul ก็ได้โพสต์หลังจาก “ทักษิณ” ร่วมแจมคลับเฮาส์ ครั้งแรก ว่า
“มีคนพูดว่า ทักษิณ เป็น royalist
นี่เป็นการพูดที่ผิดข้อเท็จจริง
He only acts like one.”
และเมื่อวันที่ 22 ก.พ. เฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul
โพสต์เกี่ยวกับ “ทักษิณ” ว่า
“ตั้งแต่ต้น ทักษิณและพรรคพวก (พรรคเพื่อไทย ฯลฯ และผู้สนับสนุน) ชูประเด็นว่า “เศรษฐกิจสำคัญ” ด้านหนึ่งก็หวังว่า จะอาศัยจุดแข็งของทักษิณในเรื่องการจัดการทางเศรษฐกิจ หาเสียงกับประชาชน อีกด้านหนึ่ง ก็หวังว่า โดยการงดพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ จะเป็นช่องทางให้สักวันหนึ่งสามารถหันกลับมาคืนดีกับสถาบันฯได้ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงอดีตที่เคยมีสัมพันธ์ที่ดีต่อ... (บางครั้งก็เสี่ยงด้วยการเล่นเกมผลักดัน... ให้เป็นนายกฯ โดยไม่บอกใคร)
แต่ความหวังนี้ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุผล”
ที่น่าวิเคราะห์ก็คือ นับแต่นี้ บทบาทของ ทักษิณ จะได้แสดงออกผ่านเวทีของ “CARE คิด เคลื่อน ไทย” มากขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่เบื้องหลังพรรคเพื่อไทย จนถูกร้องยุบพรรค แต่ที่สำคัญคือ “CARE คิด เคลื่อน ไทย” แกนนำส่วนใหญ่ ก็คือ อดีตคนสนิท “ทักษิณ” ในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยทั้งนั้น หรือ พูดให้ชัดว่า เป็นลูกน้องเก่าแก่ของ ทักษิณ ก็ว่าได้ ดังนั้นการที่ ทักษิณจะใช้เวทีของ CARE กลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ทางการเมืองอีกครั้ง ก็มีความเป็นไปได้สูง
รวมทั้งยังเชื่อว่า “ห้อง ไทยรักไทย ใครเกิดทัน มากองกันตรงนี้” คงไม่ใช่อยู่ก็เกิดขึ้น หากแต่น่าจะมีการวางแผนเอาไว้อย่างแยบยลว่า จะทยอยหา “จุดขาย” ทางการเมือง ให้ “ทักษิณ” ได้โชว์กึ๋นในการเสนอแก้ปัญหา โดยเฉพาะประเด็นที่คนไทยเคยเห็นผลงานมาแล้วในอดีต
ยิ่งกว่านั้น ยังทำให้เห็นว่า ขณะที่คนอื่นเผชิญหน้ากับการต่อสู้กับเกมการเมือง ที่โงหัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งถูกมองว่า อยู่ฝ่ายเดียวกับม็อบคณะราษฎร 2563 ก็กำลังเจอสถานการณ์ไม่เป็นใจ คนไทยส่วนใหญ่ยังคงจงรักภักดี ทำให้ม็อบเริ่มถึงทางตัน ขณะที่รัฐบาล “ลุงตู่” ก็กำลังเจอศึกหลายด้าน ทั้งทางการเมือง และโรคระบาด โควิด-19
ก็คงจะมีแต่ “ทักษิณ” คนเดียวเท่านั้น ที่ “ลอยตัว” เหนือปัญหาได้ เลือกได้ ที่จะเล่นเกมอะไร เพื่อหาความนิยมให้ตัวเอง
จากนั้น ก็ไปลุ้นเอาว่า ฝ่ายม็อบคณะราษฎร จะมีเงื่อนไขให้ได้ชัยชนะหรือไม่ หรือ ถ้าม็อบราษฎรแพ้ ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะตัวเอง ไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ว่าเลือกข้างไหน เรื่องฉลาดเหลือร้าย “ทักษิณ” ไม่เคยพลาดอยู่แล้ว หรือไม่จริง!?