xs
xsm
sm
md
lg

ครม.ผ่านหลักการร่าง กม.2 ฉบับ ส่งเสริมกำกับดูแลองค์กรไม่แสวงหารายได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบในหลักการร่างกฎหมาย 2 ฉบับ ส่งเสริมและกำกับดูแลองค์กรไม่แสวงหารายได้ ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง

วันนี้ (23 ก.พ.) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ร่วมกับภาครัฐและภาคส่วนอื่นๆ ซึ่งองค์กรภาคประชาสังคมเป็นกลไกสำคัญในการจัดการปัญหาของชุมชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทำให้ประชาชนมีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งตนเองได้ ดังนั้น ครม.จึงอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เพื่อให้องค์กรภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศร่วมกับภาครัฐ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารรัฐกิจตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกในการส่งเสริมและสนับสนุนศักยภาพ และสร้างความเข้มแข็งขององค์การภาคประชาสังคม โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม จัดตั้งสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาชน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในรูปแบบต่างๆ อาทิ งบประมาณ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1. กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง 6 คน ได้แก่ 1) ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 2) ปลัดกระทรวงการคลัง 3) ปลัดกระทรวงมหาดไทย 4) ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ 5) ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน 6) เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และกรรมกรรมผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคม จำนวน 7 คน โดยทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนงาน ให้คำปรึกษา จัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาชน

2. จัดตั้งสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาชน ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล เพื่อให้การสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการดังกล่าว และรับจดแจ้งองค์กรภาคประชาสังคม

น.ส.รัชดากล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีการจัดตั้งองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ หรือกำไรมาแบ่งปันกัน (NGO) ในไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีการจดทะเบียนถูกต้องเพียง 87 องค์กร ทำให้การกำกับดูแลของรัฐไม่ทั่วถึง และมีหลายองค์กรที่อ้างว่าเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ขององค์กรเพื่อสาธารณะประโยชน์ มีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้น เพื่อกำกับดูแลในเรื่องดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีได้ทำการศึกษากฎหมายเกี่ยวกับการกำกับดูแลองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ ในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อินเดีย จีน และญี่ปุ่น ซึ่งมีสาระสำคัญที่คล้ายกัน คือ มุ่งเน้นเรื่องธรรมาภิบาลในองค์กรฯ และเสนอต่อ ครม. ซึ่งได้รับการเห็นชอบในวันนี้ โดยเป็นการเห็นชอบในหลักการร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน เพื่อให้มีกฎหมายกลางในการกำกับการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งมีสาระสำคัญกำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ ต้องดำเนินการดังนี้

1. ต้องจดแจ้งการเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ กับกรมการปกครอง 2. ต้องเปิดเผยแหล่งที่มาและจำนวนของเงินหรือทรัพย์สิน ที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมในแต่ละปี และต้องยื่นแบบรายการภาษีเงินได้ทุกปี 3. ต้องเสนอรายงานการสอบบัญชี โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต่อผู้รับจดแจ้งภายใน 60 วัน นับแต่วันสิ้นปีบัญชี และให้ผู้รับจดแจ้งเผยแพร่ต่อสาธารณะ 4. กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ จะรับเงินหรือทรัพย์สินจากบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งในไทย มาใช้ในการดำเนินกิจกรรมในไทยได้เฉพาะกิจกรรมที่กฎหมายกำหนด

“ทั้งนี้ ครม.มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงมหาดไทย นำหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ หรือกำไรมาแบ่งปันกัน ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย และส่งผลดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป และขอยืนยันว่าร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นไปเพื่อส่งเสริมและกำกับดูแลองค์กรไม่แสวงหารายได้ฯ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันพัฒนาประเทศและสาธารณประโยชน์ ไม่ใช่การจำกัดสิทธิเสรีภาพขององค์กรแต่อย่างใด” น.ส.รัชดากล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น