เมืองไทย 360 องศา
ก็ผ่านวันที่สามกำลังล่วงเข้าสู่วันที่สี่ สำหรับมหกรรม “ซักฟอก” ฝ่ายรัฐบาล ที่มี 10 รัฐมนตรี นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ที่เหลือก็เป็นรายย่อยๆ ที่มีเป้าหมายกระจายกันไปทุกพรรคร่วมรัฐบาล
อย่างที่เน้นย้ำให้เห็นแล้วว่า เมื่อเปิดหัวเริ่ม “ซักฟอก” ตั้งแต่วันแรกที่สรุปตรงกันว่า “ไม่สมราคาคุย” หรือ “ไร้มาตรฐาน” เนื่องจากไม่มีหลักฐาน หรือ “ใบเสร็จใหม่ๆ” ประเภทที่เรียกว่า “น็อก” ฝ่ายรัฐบาลได้เลย มีแต่เรื่องเก่าๆ ที่ลอกมาจากสื่อ หรือนำเอาเรื่องใน “เฟกนิวส์” มาเน้นย้ำอีกครั้ง มาผสมกับคำด่า คำเสียดสีที่น่ารำคาญหู และที่สำคัญบางคนบางพรรคก็ “รับงาน” เพื่อบ่อนเซาะสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น
จนมาถึงวันอภิปรายวันที่สามในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ และกำลังจะเข้าสู่วันที่สี่ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะมีการลงมติในวันถัดไป เนื้อหาก็ยิ่ง“เบาหวิว”ลงไปเรื่อยๆ เรื่องราวที่นำมาอภิปรายก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องเก่า วนกลับมาฉายใหม่ มันก็ยิ่งไม่น่าสนใจเข้าไปใหญ่
ดังนั้น หากจะให้ “เดาทาง” กันล่วงหน้า พนันกันแบบ “เอาขี้หมากองเดียว” ว่า ในการอภิปรายวันสุดท้ายก็จะมีรายการ “ป่วน” ทำให้เห็นว่า “ถูกปิดกั้น” รวบรัดตัดจบอะไรประมาณนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว หากพิจารณากันตามเกมแล้ว ฝ่ายรัฐบาลน่าจะขยายเวลาให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายได้เต็มที่ อย่างในตอนแรกที่ต้องการอภิปราย 7 วัน 7 คืน รัฐบาลก็ไม่น่าต่อรองลดเหลือแค่ 4 วัน ตรงกันข้ามน่าจะขยายเพิ่มเป็นสักเดือนหนึ่ง เอาให้ตาเหลือกคาไมโครโฟนกันไปเลย
แต่เอาเป็นว่าพูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นเอง เพราะถึงอย่างไรก็ต้องตัดจบตามกำหนดเวลา และมีการโหวตไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจ ซึ่งก็ต้องมีบ้างประเภทที่มี “ลีลา” จากฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ทำให้อาจมีคะแนนไม่เท่ากัน
แต่ถ้าให้ “มองข้ามช็อต” เชื่อว่า หลังจากนี้น่าจะมีการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” ชุดใหญ่พอสมควร ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นค่อนข้างแน่ เพราะจังหวะเวลาถือว่าได้แล้ว หลังจากอายุรัฐบาลผ่านมาปีกว่าแล้ว ก็ต้องมีการหมุนเวียน “ผลัดกันชม” บ้าง
อย่างไรก็ดี ถือว่าเป็นเรื่องอนาคตที่ต้องรออีกพักหนึ่ง แต่ที่น่าจับตาก็คือ สถานการณ์ทั้งในและนอกสภา ที่พอมองเห็นแววตั้งแต่เริ่มการอภิปรายซักฟอกรัฐบาลแล้วว่า “ไม่ได้เรื่องได้ราว” ดังนั้น จึงให้ต้องมาโฟกัสกันที่ “เกมป่วนนอกสภา” มากกว่า หลังจากที่ก่อนหน้านี้หากจำกันได้ว่าฝ่ายความมั่นคง โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้รายงานที่ในประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะมี “ม็อบคู่ขนาน” กับการการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา
และก็ไม่ใช่กลุ่มไหน แต่เป็น “ม็อบสามนิ้ว” เจ้าเดิมนั่นแหละ เพราะอย่างที่รู้กันว่า มัน “เครือข่ายเดียวกัน” มาจากการอุปถัมภ์ค้ำชูจาก “ทุนเดียวกัน” ซึ่งนาทีนี้ไม่ต้องอธิบายแล้วว่ามาจากไหน เพราะหากติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่องก็เข้าใจได้อยู่แล้ว
ล่าสุดก็ตามคาด เมื่อ “กลุ่มม็อบสามนิ้ว” ได้นัดหมายชุมนุมกันหน้าสภา ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ บอกว่า เป็นการ “อภิปรายนอกสภา” ก็ว่ากันไป แต่หากให้คาดการณ์กันล่วงหน้าก็ต้องบอกว่า นี่คือ “เกมป่วน” สร้างกระแสให้เกิดการ “ปราบ” การจับกุม เพื่อหวังให้เกิดการขยายผลออกไป ในลักษณะ “ถูกรังแก” หรือถูกใช้กฎหมายปิดปากอะไรประมาณนั้น เพราะอย่างที่รู้กันว่ายังมีแกนนำอีกบางคนที่ยังสามารถเคลื่อนไหวข้างนอกได้ หลังจากไม่ได้รับการประกันตัวออกมาจำนวน 4 คน ที่ถือว่า “คุกยาว” ไปแล้ว
พวกแกนนำที่เหลือพร้อมแนวร่วมก็พยายามสร้างเงื่อนไขให้มากที่สุด ก่อนที่จะสิ้นอิสรภาพถูกอัยการนัดสั่งฟ้องอีกชุดใหญ่ในต้นเดือนหน้าในข้อหาเดียวกันกับ 4 แกนนำก่อนหน้านี้ นั่นคือ ความผิดตามมาตรา112 และ มาตรา116 ยุยงปลุกปั่น และอีกหลายข้อหา ซึ่งตามรูปการณ์แล้วไม่น่ารอด (คุก) ซึ่งเจ้าตัวก็พอรู้ชะตากรรม จึงต้องดิ้นรนกันเต็มที่
ดังนั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น มันก็น่าห่วงเหมือนกันว่า งานนี้เมื่อมองเห็นว่า “เจตนาป่วน” ก็ต้องอยู่ที่มาตรการรับมือว่าจะสามารถ “เอาอยู่” ได้หรือไม่ แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายรู้ทัน และเตรียมการณ์กันล่วงหน้าได้อยู่แล้ว !!